วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทดสอบกล้อง canon power shot SX40 HS

การติดตามไล่ล่า กล้องแคนนอน power shot SX40 HS เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ณ บัดนี้ ก็ได้มาอยู่ในมือของเราแล้ว ราคาเริ่มต้นก่อนน้ำท่วม 14900 บาท ปัจจุบัน 17900 บาท ของแถม ไม่แตกต่างกัน ทั้งประกันศูนย์ และประกันร้าน เราเลือกประกันศูนย์ ราคาแพงกว่าหลักพัน ก็เอาเถอะ...

วันนี้ ได้มาแล้วจ้า.... หลังจากนำกลับมาบ้านอย่างทะนุถนอม ก็ทำการชาร์ตแบตเตอรรี่ 4 ชั่วโมงจนเต็ม ศึกษาฟังก์ชั่นการใช้งานคราว ๆ ก็ไม่แตกต่างกันมากนักกับกล้องตัวเดิม ๆ ถ้าคนเคยใช้กล้อง ก็พอจะเล่นได้แน่นอน

แผนการนำกล้องไปทดสอบ ให้เคยมือ เริ่มต้นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ณ สวนรถไฟ (เมื่อคืน ตื่นเต้น นอนไม่ค่อยหลับ เลยตื่นเช้าไปหน่อย) ระยะการซูม ที่ว่า ซุปเปอร์ 35X จะดีขนาดไหน ความเร็วโฟกัส การประมวลผล เป็นอย่างไร...

ขอนำเสนอ เป็นภาพ ดังนี้ จ้า
แนวภาพวิว ค่อยดูจากกล้อง แสง สี สวย พอมาใส่คอมพิวเตอร์สีจะจืดไปนิด ต้องปรับแสงให้ดี มุมมองภาพวิว การถ่ายเพื่อการท่องเที่ยว กล้องนี้ ยอดเยี่ยมอ่ะ..ผ่านจ้า....


   เป็นไง แค่ 3 ภาพ สวย อยากไปเที่ยวแล้วละซิ สวนรถไฟนะเนี่ย....

กลุ่มต่อไป คือการเน้นเรื่อง ซุปเปอร์โฟกัส ถ่ายระยะไกล ที่เราใช้ก็คือ การนำไปถ่ายนก

พบว่า นกที่มีขนาดเล็ก และสีน้ำตาล หรือสีใกล้เคียงธรรมชาติ การมองผ่านกล้อง ตามไม่ทัน จับภาพอยากมาก ภาพในกล้องขนาดเล็กกว่ามองตาเปล่า การหาตำแหน่งนกผ่านกล้องก็ยากมาก (อาจเป็นครั้งแรก ถ้าฝึกอาจจะเร็วขึ้น ไม่แน่ใจ...)
 อันนี้ใช้ระยะไกลสุด พบว่า การโฟกัสนก โดยเฉพาะจะให้จัดที่ดวงตา เป็นไปได้ยากมาก....
 อันนี้ อยู่ยอดต้นไม้สูงประมาณ 4 - 5 เมตร แต่จับได้แค่เนี่ย...
 อันนี้ ระยะ 2 เมตร ซูปได้มากสุด ๆ ก็เต็มตัวนะ แต่เรื่องการปรับแสง ยากมาก...
 ตัวนี้เป็นนกกระติ๊ด ตัวเล็กมาก ๆ อยู่เลยหัวไปนิดเดียว แต่หาโฟกัส กับตำแหน่งยากมาก ใช้ระยะเวลานานกว่าจะถ่ายได้ ดีที่เป็นนกเกาะ ไม่กระโดดไปมา ไม่งั้นก็ถ่ายไม่ได้

 ตัวนี้ เป็นนกกินแมลง โดดไปมา ตัวเล็ก จับยาก แต่โชคช่วย ตัวนี้เกาะนิ่งนาน
ส่วนยางกรอก กับการถ่ายแสงสะท้อน เงาในน้ำ ต้องปรับแสงให้มืดลงกว่าธรรมดา ตั้งค่าสีให้เด่นไปหน่อย ดูไม่เป็นธรรมชาติ (อันนี้โทรคนถ่ายแล้วกัน...)

ส่วนแบตเตอร์รี่ ใช้ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึงเที่ยง ก็ยังไม่หมด แต่เวลาถ่ายต่อเนื่องนาน ๆ กล้องบริเวณแบตเตอร์รี่จะร้อน ส่งผลให้การประมวลภาพช้าลง ซึ่งขัดใจสุด ๆ แค่ถ่ายนกตัวเดียว นานไปหน่อย ก็ร้อนแล้ว  วันนี้ก็ถ่ายไปแค่ 321 รูปเอง แต่ดี ที่แบตไม่หมด

ต่อไปเป็นการตั้งกล้องถ่ายตัวเอง...

ไม่ต้องเดินไปไกล ภาพก็ดูไกลได้เอง สรุปว่า ภาพจากกล้องดูเล็กกว่ามองด้วยตา เวลามองในจอ LCD ก็เล็กมองไม่ค่อยเห็น แปลก ๆ ไม่ค่อยชิน (ไว้ไปลองกล้องอีกครั้งดีกว่า)

จบการทดสอบกล้อง canon powershot SX40 HS วันนี้ แต่เพียงเท่านี้ จ้า... (ไม่ได้ดังใจเลย...)

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คลายเครียดน้ำท่วม ด้วยจดหมายรักของพี่กรุง กับน้องน้ำ และน้องทราย

จดหมายฉบับนี้ไม่ทราบที่ไปที่่มา แต่เห็นว่าขำ ๆ คลายเครียดกับบรรยากาศน้ำท่วมกรุงเทพแบบนี้

โดยเฉพาะเราเองก็เป็นผู้หนึ่งที่น้ำท่วมบ้าน เครียด จนนอนไม่หลับแล้ว แต่พอได้อ่าน จดหมายฉบับนี้ ขำมาก ๆ ทั้งตลก และแปลกใจอยากรู้ที่ไปที่มา แต่เมื่อไม่ทราบ ก็อยากเอามาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน จึงขออนุญาติคัดลอกมาให้เพื่อน ๆ อ่านกันนะค่ะ


จดหมายจาก น้องน้ำ ถึง พี่กรุง 


ถึง พี่กรุง

น้ำรู้ว่าพี่กรุงไม่ต้องการน้ำแล้ว รู้แล้วว่าพี่มีความสุขดีโดยที่ไม่มีน้ำ แต่พี่กรุงจำได้หรือป่าวว่าเราเคยมีความสุขกันมากขนาดไหน และน้ำรู้ว่าพี่ไม่พอไจที่น้ำกลับมาหาพี่ 


ถึงแม้ที่ผ่านๆมาน้ำทำไม่ดีกับคนอื่นมา แต่น้ำอยากให้รู้ว่าน้ำใช้เป็นทางผ่านเพื่อมาหาพี่กรุง ตอนนี้น้ำทำได้ดีที่สุดก็แค่อยู่ รอบๆตัวพี่กรุง 

แต่ให้พี่รู้เอาไว้ว่าสักวันน้ำจะเข้าไปหาพี่กรุงให้ได้ เราจะมี...เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน น้ำอยากให้พี่กรุงรู้เอาไว้ว่าน้ำจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจและตัดใจจากพี่กรุง 

ถึงแม้ผุ้ใหญ่ของพี่จะผลักดันน้ำให้ออกห่างจากพี่กรุงก็ตาม แต่น้ำไม่แคร์!!! 

ถึงแม้ใครจะด่าน้ำ เบื่อน้ำเกลียดน้ำ น้ำก็จะไปอยู่กะพี่กรุงให้ได้พี่กรุงคอยดูละกัน
ปล. ฝากบอกนังทรายด้วยว่าน้ำไม่ยอมง่ายๆ หรอก ชิส์

น้ำ

จดหมายตอบจาก พี่กรุง ถึง น้องน้ำ

ถึง...น้ำ

น้ำ...พี่อยากให้น้ำรู้ ทุกวันนี้พี่อยู่โดยไม่มีน้ำ พี่มีความสุขดีอยู่แล้ว

น้ำจะมาอะไรตอนนี้ เชื่อเถอะยังไงพี่ก็ไม่มีความสุขหรอก น้ำไปตามทางของน้ำเถอะพี่รู้ดีน้ำเป็นยังไง แต่เอาเถอะ ถ้าน้ำดึงดันจะมา พี่เข้าใจ จะมาก็มาเลย พี่รับได้...ฝันของพี่จะได้เป็นจริงสักที พี่จะได้ไม่ต้องไปอยู่ไหนอยู่แต่กับน้ำ

แต่ขอร้อง...น้ำอย่าให้ความหวังพี่ว่าน้ำจะมา แล้วมัวแต่ไปอยู่กับคนอื่น ถ้าน้ำจะมา ขอให้มาเต็ม มาเคลียร์ให้มันจบๆ ไม่ใช่ให้พี่คอยลุ้นว่าจะมาไม่มา มันทรมานนะ อย่าทำกับพี่เหมือนที่น้ำทำกับคนอื่นเลย เข้าใจพี่นะ

แต่ยังไงก็ตามถึงแม้ชีวิตพี่จะขาดน้ำไม่ได้ แต่เราต่างคนต่างอยู่เถอะ ถ้าพี่ต้องการน้ำเมื่อไหร่พี่จะเปิดก๊อกเอง... 


พี่กรุง

จดหมายจาก ทราย ถึง นังน้ำ

ทรายอยากให้น้ำรู้ไว้นะว่า น้ำเป็นเพียงแค่อดีตของพี่กรุง และทรายจะทำทุกวิถีทาง
เพื่อกีดกันน้ำไม่ให้พบกับพี่กรุง 

ผู้ใหญ่เค้าก็เห็นดีเห็นชอบ กับทรายให้ทรายคอยกันน้ำ ไปทางอื่น และถึงแม้ว่าผู้ใหญ่เค้าจะบอกว่า "เอาอยู่"
แต่น้ำก็ยังไม่ยอมหยุดที่จะ ทำลาย ทราย และ พี่กรุง
ขอร้องเถอะนะน้ำ อย่ามาทำให้ใครต่อใคร ต้องชอกช้ำ เพราะน้ำไปมากกว่านี้เลย
ทรายสัญญาจะดูแลพี่กรุงให้ดีที่สุด และไม่ว่าน้ำจะลดละ หรือ ไหลบ่า ท่วมทุ่ง
ซักกี่ลูกบาศ์กเมตรก็ตาม ทรายก็จะคอยหนุน และเปลี่ยนน้ำ ให้ไปทางอื่นให้ได้

"ถุงทราย"


ถึง…น้องน้ำ

พี่อยากจะบอกน้องน้ำว่า พี่ยังรอน้องน้ำอยู่ทุกลมหายใจ เมื่อเขารังเกียจไม่มีใครต้องการแล้วเราจะอยู่ทำไมให้เขาขับไล่ไสส่ง
กลับมาอยู่ในที่ของเราเถอะ พี่กรุงเขากำลังหลงอยู่กับ แสง สี เสียง
ก็ปล่อยเขาอยู่กับนังทรายต่อไปก็แล้วกัน กลับมาไวๆนะ พี่ทะเลรออยู่และจะรอตลอดไป

รักน้องน้ำสุดหัวใจ

จาก……..พี่ทะเล

เป็นไงค่ะ อ่านแล้วอย่าแอบขำอยู่คนเดียวนะค่ะ แบ่งปันให้เพื่อน ๆ คนรู้จักคุณขำไปด้วยกันนะค่ะ คลายเครียดในสถานการณ์แบบนี้ ค่ะ

เป็นกำลังใจให้ สู้ต่อไปนะค่ะ .....

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

มื้ออาหารสุขภาพกับอาหารญี่ปุ่น

มื้ออาหารสุขภาพ กับ อาหารสไตส์ญี่ปุ่น แท้ ๆ 

ยามเย็นของวันที่ไม่น่าเบื่อจนเกินไป หลังจากเสร็จภาระกิจต่าง ๆ แล้ว ได้เวลาออกไปเดินเล่นสบาย ๆ ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง แถวรามอินทรา กม. 10 ห้างอะไรใครรู้แล้วบอกดัง ๆ ... (เฉลย...ก็ได้ค่ะ ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ ไงค่ะ) เมื่อประมาณกว่า 10 ปีที่แล้ว ห้างนี้คนน้อยมากเลยค่ะ แต่ปัจจุบัน เยอะทุกวันค่ะ 

ในศูนย์การค้าแห่งนี้ ก็มีร้านอาหารมาก ๆ ให้เลือกสรร เลือกกิน กันอย่างมากมาย วันนี้ อยากทานอาหารสุขภาพเสียหน่อย เมื่อคิดถึงอาหารสุขภาพ ก็ทำให้นึกถึง พวกผัก พวกอาหารจานสลัด คิดไปคิดมาก ก็สรุปกันที่ อาหารญี่ปุ่น.....

ใครรู้บ้างค่ะ ทำไหมอาหารญีปุ่น จึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ คิดไปคิดมาก ก็ทำให้คิดได้ว่า เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับแพทย์ทางเลือก หรือ โภชนาการบำบัด หรืออาหารจากธรรมชาติ ผู้เขียนส่วนใหญ่มักจะแนะนำ เมนูอาหาร หรือชนิดของวัตถุดิบ ที่มีส่วนประกอบของเต้าหู้ ซอสญี่ปุ่น หรือเมนูอาหารญี่ปุ่น หลายหลายเมนู และด้วยวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นเองก็มีการปลูกผัก รับประทานผัก ผลไม้สด ปลาดิบ หรือกระทั่งที่เราเห็นในทีวี ก็มีการนำเสนออาหารญี่ปุ่นที่ปรุงง่าย ๆ ไม่ค่อยมีการแปรรูปวัตถุดิบหรือปรุงแต่งอาหารมากนัก อย่างมากก็แค่เติมโชยุ เข้าไป ก็ทำให้ได้อาหารง่าย ๆ รสชาดเป็นธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพ (ที่กล่าวมาทั้งหมด มิได้รับจ้าง หรือได้เงินจากร้านอาหารญี่ปุ่นนะค่ะ เพียงแต่อยากมาเล่าให้ฟังเฉย ๆ ...)

เมื่อคิดประมวลด้วยสมองอันน้อยนิดแล้ว ก็สอดส่ายสายตา มองหาร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดั่งเดิมหน่อย ไม่เอาแนวที่ดัง ๆ หลาย ๆ สาขา (กลัว...ไม่อร่อย)

ก็ไปพบร้านอาหารญี่ปุ่นลักษณะที่เหมาะกับครอบครัว การจัดโต๊ะ การทำเซตอาหาร ดูเหมาะกับครอบครัวมาก ๆ แต่เรามาเพียงคนเดียว จะกินยังไงดีนะ เอาเป็นว่า วันนี้มาลองกิน ลองชิมรสชาด หน่อยแล้วกัน

เมนูแรก ของเลือกเป็น สลัดกุ้งมิโซะ 



 เป็นไงค่ะ รูปร่างหน้าตาสลัดกุ้งมิโซะ ที่ลงสองภาพ เพราะ ภาพแรก เขาแยกซอสมาให้ราดเอง
ภาพสอง เขาให้ผ้าเช็ดมือที่อุ่นร้อน ๆ มาให้ด้วย เมื่อเขามานั่งทานอาหาร เสริมด้วยผ้าให้เช็ดมือก่อนรับประทานอาหาร ดูดี มีมารยาท รักสุขภาพมาก ๆ ค่ะ

ต่อมาเมนูที่สอง เป็น เซตข้าวหน้าหมูย่างจากเตาถ่านร้อน ๆ กับสมุนไพร รากบัว กระเจี๊ยบ ต้นหอม
อร่อยมากค่ะ รสชาด ดี มาก ๆ หมูก็หอม ชวนชิมเชียวค่ะ

 ภาพนี้เป็นเซตอาหารข้าวหน้าหมูย่าง มีผักต้ม แครอท มันฝรั่ง รากบัว ผักดอง และซุปเต้าหู้ อร่อย อิ่มมาก ๆ
 ภาพนี้เป็นรวมเซตที่กิน คนเดียว แค่นี้ ก็อิ่มจนเต็มท้องค่ะ แต่ยังค่ะ ยังไม่พอ ขอต่อด้วยของหวานสไตส์ญี่ปุ่นค่ะ

เมนูไอศครีม ชาเขียวในน้ำเต้าหู และไอศครีม น้ำเต้าหู้กับวุ้น... (แหะ ๆ จำชื่อวุ้นเขาไม่ได้แล้วค่ะ)

เป็นไงค่ะ มีน้ำเชื่อมมาให้ราดด้วย ลองชิมแล้ว อร่อยดี ดูสุขภาพดี มาก ๆ มีวุ้นว่านหางจระเข้ด้วยค่ะ ไอศครีมน้ำเต้าหู้ก็อร่อยมาก มีลูกพีชด้วยรสชาดกลมกล่อมดี ส่วนไอศครีมชาเขียวในน้ำเต้าหู้ ก็เข้ากัน เข้ากัน อร่อย .... ด้วย ครบเครื่อง เรื่องสุขภาพค่ะ......
 อันนี้ เป็นไอศครีมชาเขียวในน้ำเต้าหู้ มีวุ้นสีเขียว เหมือนขนมไทยบ้านเรา ประมาณเปียกปูน ที่กลม ๆ สีขาว เป็นโมจิแท้ค่ะ ทำจากข้าว หอมดี และมีถัวแดงกวน ไม่หวานมาก ด้านล่างเป็นน้ำเต้าหู้ ก็หอมดีค่ะ

อันนี้ เป็นไอศครีมเต้าหู้ในวุ้น.... (จำชื่อไม่ได้) มีวุ้นสีดำ เหมือนเฉาก๋วยบ้านเรา มีวุ้นว่านหางจระเข้ มีลูกพีช และถั่วแดงกวน ค่ะ
ระหว่างสองถ้วยนี้ กินกันไม่ลงค่ะ ชอบทั้งคู่เลย......

อิ่มอร่อย พร้อมกับสุขภาพ ได้ที่ร้าน.... (ไม่บอก ไปหาเองที่แฟชั่นนะค่ะ 5555 )

??????? <""""()"""""> แล้วจะเล่าทำไหมเนี่ย...

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ภูมิปัญญาชาวบ้าน


ภูมิปัญญา ชาวบ้าน

1. การกำจัดแมลงสาบ** 
ในบ้านที่มักจะอยู่ตามครัว ตู้ โต๊ะ หรือตามซอกตามมุมต่างๆ**
* เขาบอกว่าวิธีที่ได้ผลและง่ายแสนง่าย แต่คนมักไม่ทราบหรือคิดไม่ถึง นั่นก็คือใช้ " พริกไทยเม็ด " ไปวางตามจุดต่างๆ ที่แมลงสาบชอบออกมาไต่ยั้วเยี้ย หรือแอบมากินเศษอาหาร โดยวางไว้ที่ละ 4-5 เม็ดก็พอ แค่นี้ แมลงสาบได้กลิ่นก็ไม่มารบกวนแล้ว เพราะมันไม่ถูกกับกลิ่นพริกไทยเม็ด ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้เสียเงิน หรือเป็นอันตรายต่อคนในบ้าน พอกลิ่นหมด ก็คอยเปลี่ยนใหม่ ข้อสำคัญ ระวังเด็กเล็กในบ้านอย่าคลานไปกินเข้า จะร้องไห้จ้าเพราะความเผ็ด

2. ** กำจัดยุงและแมลงตัวเล็กๆ** 
ไม่ให้มารบกวนตอนอ่านหนังสือหรือทำงานตอนกลางคืน** * เขาให้ใช้ "การบูร " มาห่อผ้าขาว หรือไปซื้ออย่างที่เขาห่อสำเร็จมาแล้วก็ได้ จากนั้นนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับหลอดไฟ หรือโคมไฟ เพื่อความร้อนจากหลอด หรือโคมจะทำให้กลิ่นการบูรค่อยๆ ระเหิดออกมาอย่างรวยริน ยิ่งกลิ่นออกมามากเท่าใด ยุงและแมลงก็จะบินหนี เพราะมันไม่ชอบกลิ่นการบูร แค่นี้ก็ไม่ต้องจุดยากันยุงหรือทายากันยุงให้เหนอะหนะเหนียวตัว

3. ** ขับไล่หนูชุกชุม** 
โดยไม่ต้องฆ่าให้บาปกรรม ด้วยการนำ น้ำมันระกำ **10 ** ส่วน* * * ผสมกับน้ำมันสะระแหน่อีก 90 ส่วนให้เข้ากัน แล้วเอาไปทาตามทางเดินของหนู หรือที่ๆ หนูชอบมา มันจะไม่มาอีกเลย เมื่อได้กลิ่นน้ำมันทั้งสองอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรจะเก็บเศษอาหารให้หมด และทำบ้านเรือนให้สะอาด อย่ารกรุงรังเป็นดีที่สุด







4. ** วิธีต้มไข่ให้ปอกเปลือกง่าย** 
การต้มไข่นั้น ดูเป็นเรื่องไม่ยาก แต่เชื่อไหมว่า หากจะต้มไข่ให้ปอกเปลือกง่ายๆ หลายคนกลับทำไม่ได้
แถมปอกแล้วเนื้อไข่ติดเปลือกทำให้ไม่สวยงามอีก ดังนั้น
วิธีง่ายๆที่จะต้มไข่ให้ปอกเปลือกได้ง่าย เขามีเทคนิคพิเศษด้วยการ ต้มไข่แบบธรรมดานี่แหละ แต่ให้เอา " เกลือ " ใส่เข้าไปพอสมควร ให้น้ำที่ต้มมีความเค็มเล็กน้อย กะว่าไข่สุกดีแล้ว ก็ให้เอาไข่นั้นแช่ในน้ำเย็นธรรมดา พอไข่ต้มเย็นลงพอควร ก็จับปอกเปลือกได้ จะรู้สึกเลยว่าเปลือกไข่แกะออกง่าย และล่อนดีไม่ติดเหมือนปกติ ทำให้ปอกไข่ต้มออกมาได้อย่างสวยงาม น่ากิน

5. ** ต้มถั่วดำถั่วแดงให้สุกเร็ว** 
การต้มถั่วดูเหมือนจะง่ายคล้ายๆกับต้มไข่ แต่จริงๆแล้ว ใครที่เคยต้มทั้งถั่วดำ ถั่วแดง จะรู้ดีว่ากว่าจะต้มสุกได้ต้องใช้เวลานานมาก จนหลายคนเอือม ไม่คิดอยากกินถั่วอีกเลย หรือไม่ก็ไปซ ื้อเขาสบายกว่า บางคนก็ใช้วิธีแช่น้ำคืนหนึ่งก่อนนำมาต้ม แต่เขาบอกว่าวิธีที่เร็วและสะดวกกว่าคือ
ก่อนนำถั่วไปต้ม ให้เอาไป " คั่ว " ในกะทะให้สุกเสียก่อน เป็นการทำให้สุกครั้งแรกที่ใช้เวลาไม่นาน จากนั้นจึงเอาหม้อใส่น้ำ แล้วใส่ถั่วลงไป โดยกะน้ำให้พอดีกับถั่วที่จะต้ม แล้วตั้งไฟต้ม คราวนี้แหละถั่วที่ต้ม ก็จะสุกเร็วขึ้น เมื่อถั่วสุกก็ใส่น้ำตาลลงไป กะให้หวานพอเหมาะหรือตามแต่ชอบ

6. ** วิธีเก็บขนมปังให้นานวันขึ้น** 
โดยมิให้เสีย หรือหมดอายุเร็วเขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องยาก ขนมปังที่ซื้อมาแล้ว และเรากินไม่หมดก็ให้ห่อเก็บในพลาสติก เหมือนเดิมนั่นแหละเพียงแต่ให้เอาผ้าขาวสะอาดๆมาห่อหุ้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นให้ผูกด้วยเชือกหรือใช้ยางรัดให้แน่น แล้วไปเก็บไว้ในตู้เย็นตามปกติธรรมดา
ไม่ต้องไปเข้าช่องแข็ง ทำแบบนี้ขนมปังที่ว่าก็จะมีอายุนานขึ้นโดยไม่เสื่อมสภาพ เมื่อเอาไปย่าง ปิ้ง ทาเนยแยม ก็ยังจะอร่อย และคงความนุ่มไว้เหมือนเดิม

7. ** วิธีหาเสี้ยน หรือหนามที่ตำ ให้เห็นง่ายๆ** 
เมื่อเราถูกเสี้ยนหรือหนามตำไม่ว่าที่ไหนก็ตาม บางทีเสี้ยนมีขนาดเล็กและกลมกลืนไปกับสีผิว
ทำให้มองไม่เห็นแต่หากไม่เอาออกก็จะระคายเคือง เจ็บปวดไม่หาย เขาบอกว่าวิธีการหาง่ายๆ คือให้ใช้ " ทิงเจอร์ไอโอดีน " แตะบริเวณที่ถูกเสี้ยนหรือหนามตำ สีของทิงเจอร์ฯ จะทำให้เห็นรอยเสี้ยนที่หักคาอยู่อย่างเด่นชัด ทำให้เราจัดการเอาออกได้โดยง่าย อีกทั้งทิงเจอร์ฯ ยังช่วยรักษาแผลสดได้ดีอีกด้วย

8. * วิธีบำรุงสายตาด้วยสมุนไพรราคาถูก** 
นั่นคือ " ผักบุ้ง " ที่เราส่วนใหญ่รู้ๆ กันอยู่แล้วนี่เอง นอกจากจะกินผักบุ้งเพื่อให้ได้วิตามินเอ
ที่มีมากมายในตัวผักมาบำรุงสายต ?? แล้ว คนไม่น้อยคงไม่รู้ว่า เราสามารถเอาผักบุ้งไทยมาล้างให้สะอาด แล้วปั่นให้ละเอียดจากนั้น เอาผ้าขาวบางไปต้มฆ่าเชื้อเสียก่อน แล้วผึ่งให้หมาด นำมาปิดไว้ที่หน้าแล้วให้ผักบุ้งไทยปั่นที่ว่ามาโปะบนผ้าขาวบาง บริเวณดวงตาทั้งสองข้าง   ปล่อยไว้นานพอควรจนรู้สึกว่า มีน้ำจากผักซึมเข้ามาที่ดวงตาที่หลับอยู่ ก็เอาออก แล้วหลับตาล้างเปลือกตาให้สะอาด เขาว่าให้ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง จะช่วยสุขภาพของดวงตาให้ดีขึ้น ทำให้สายตาแจ่มใสอยู่เสมอ

9. ** วิธีแก้กลิ่นเต่าแรง** 
นอกเหนือไปจาก " สารส้ม " ที่เขาแนะให้นำมาถูรักแร้ตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ แล้ว ก็ยังมีอีกสูตรในการแก้กลิ่นเต่าแรงคือ " ใบตำลึง " กับ " ปูนแดง " โดยให้ตำใบตำลึงให้เละที่สุด แล้วนำมาผสมกับปูนแดงสักก้อนเล็กๆ ผสมให้ทั่วกันดีแล้ว ก็นำมาทาที่รักแร้เพียงบางๆ แล้วปล่อยให้แห้งไปเอง ควรทำตอนอาบน้ำก่อนไปทำงานตอนเช้า จะได้ทำงานได้ตลอดวัน โดยไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ออกมารบกวนใครต่อใคร บางคนอาจคิดว่ายุ่งยาก ลำบาก หาซื้อพวกโรลออนทาง่ายกว่า แต่แนะไว้เผื่อวิธีอื่นไม่ได้ผล ก็ลองดูวิธีนี้ดูบ้าง

10. ** ว่ายน้ำแล้วเป็นตะคริว**
มิให้เกิดเป็นตะคริวขึ้นมา** *ตะคริว หมายถึง อาการที่กล้ามเนื้อระตุกเกร็ง ชาไปหมด ความรู้สึกเสียไปถ้าเป็นบนบก ปล่อยให้อยู่นิ่งๆ ก็จะหายไปเอง แต่ ถ้าอยู่ในน้ำหรือกำลังว่ายน้ำอยู่จะอันตรายมาก
เพราะทำให้จมน้ำตายได้ วิธีแก้ไขหรือป้องกันมิให้เกิดเป็นตะคริวขณะว่ายน้ำ หรือเล่นน้ำอยู่นั้น
เขาให้ดื่มน้ำเกลือ เสียก่อนลงไปว่าย เกลือที่ใช้ก็คือ เกลือแกงในครัวนั่นแหละโดยเอาไปละลายน้ำให้มีรสเค็มพอประมาณ ดื่มเสียให้เรียบร้อยก่อนลงไปดำผุดดำว่ายในน้ำ ทีนี้รับรองไม่เป็นตะคริวแน่นอน

11. ** เป็นบิด** 
และไม่มียาแผนปัจจุบัน โรคบิดเป็นโรคทางเดินทางอาหาร เวลาถ่ายจะปวดมวนท้องไส้มาก
โรคนี้ส่วนใหญ่ต้องแก้ด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่หากไม่มี ก็ให้เอากระชายาสัก 5 ราก   เผาไฟบดให้ละเอียดผสมน้ำ แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง ดื่มน้ำนี้สักอึกสองอึก เว้นอีกสักชั่วโมงก็ดื่มอีก ไม่นานก็จะหาย

12. ** ลดอาการไข้ ตัวร้อน** 
ตามปกติเราก็กินยาแก้ปวดหัวตัวร้อน อย่างพาราเซตามอล แต่หากไม่มี แล้วเกิดอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ขึ้นมา เขาบอกว่าให้ดื่มน้ำมะพร้าวสัก 1 แก้ว แล้วนอนพักผ่อน อาการไข้ก็จะทุเลาลง แล้ว ให้ดื่มแทนน้ำไปเรื่อยๆ ไม่นานอาการที่ว่าก็จะหายเป็นปกติ

13. ** มีแผลในปากที่ทำให้เจ็บแสบ** 
น่ารำคาญ เขาบอกวิธีง่ายๆ ที่จะแก้ คือ ให้กินสับปะรด ยิ่งตรงไหนเป็นแผลให้อมไว้ตรงนั้นนานๆ
ไม่ช้าไม่นานก็จะหายไปเอง เหมือนหนามหยอกเอาหนามบ่ง

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนจากหนังสือดังกล่าวข้างต้น ที่เป็นเทคนิคหรือความรู้แบบชาวบ้านๆ ที่แม้ว่าโลกจะก้าวไปไกลเพียงไร แต่ใช่ว่าความเจริญเข้าไปถึงหมดทุกแห่ง ดังนั้นภูมิปัญญาเหล่านี้จึงยังมีประโยชน์และคุณค่าอยู่เสมอ ซึ่งคนสมัยปัจจุบันก็ยังสามารถทดลองใช้ได้
ข้อสำคัญส่วนใหญ่มีราคาไม่แพงและทำให้พึ่งตนเองได้ด้วย

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากหนังสือภูมิปัญญาชาวบ้าน

ซึ่งดิฉันเองก็เห็นว่ามีประโยชน์จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดไปให้ทุกคนได้รับรู้กันค่ะ

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

My Angel Guard เทวดาที่คุ้มครองฉัน

My Angel Guard เทวดาที่คุ้มครองฉัน

My Angel Guard หรือ ที่เราอาจเรียกว่า นางฟ้า หรือเทวดาประจำตัว มนุษย์เราทุกคน ต่างเวียนว่ายตายเกิด กันมาหลายภพ หลายชาติ และในวัฎจักรนี้ ก็มีหลายภพ หลายภูมิ ตามความเชื่อของศาสนาพุทธของเรา เทวดาประจำตัว หรือที่ฉันเรียกว่า My Angel Guard โดยปกติ ก็มีกันทุกคน มีทั้งเป็นในรูปของมนุษย์ รูปของเทพ รูปของสัตว์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งมีกายละเอียด ทั้งมีกายหยาบ ก็แล้ว แต่กรรมชักนำพามาให้มีความผูกพัน และมีกรรม หรือหน้าที่ที่ต้องกระทำต่อกัน

จากที่เกริ่นมาข้างต้น ก็เพียงอยากให้ทุกคนลองคิดว่า ไม่มีใครอยู่คนเดียว คุณทุกคนมี เทวดาประจำตัวกันทั้งนั้น แต่คุณเคยคิดถึง เทวดาประจำตัวของคุณหรือเปล่า เทวดาประจำตัว ไม่จำเป็นต้องมี องค์เดียว บางคนก็มีหลายองค์ บางคนก็ต้องสูญเสียเทวดาประจำตัวไป เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

สำหรับ My Angel Guard ของฉัน ฉันรู้ตัวเสมอว่า เขาอยู่ข้าง ๆ ฉัน คอยช่วยเหลือ เตือนสติ และปกป้อง คุ้มครองฉัน ตามแต่กำลังและความสามารถที่ดี ถึงพวกเขาจะเป็นเทวดา แต่ก็มิได้มีสิทธิ์ที่จะล่วงก้าว หรือก้าวก่าย โชคชะตา หรือกรรมของแต่ละคนได้ แต่ก็ที่มี พวกเขา My Angel Guard นั้น เป็นการช่วยให้เราได้มีสติยั้งคิด และสร้างลางบอกเหตุ หรือที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์นั้นเอง

หาก ลางสังหรณ์ แรกที่คุณรู้สึก เกิดจากการเตือนของเหล่า เทวดาประจำตัวคุณ ลางสังหรณ์ นั้นมักจะถูกต้องที่สุด แต่หาก ลางสังหรณ์ นั้น มีอารมณ์ หรือกิเลส ความยาก เข้าไปร่วมด้วยแล้ว ลางสังหรณ์นั้น ก็เป็นเพียง ภาพลวงตา หลอกลวงคุณนั้นเอง และนั้นก็เป็นลางบอกเหตุว่า เทวดาประจำตัวคุณหรือ Angel Guard นั้นอ่อนแอ เพียงใด หรือ คุณได้เสียพวกเขาไปแล้ว เพราะการกระทำที่ไม่ถูกต้อง  ผิดศีล ผิดธรรม ของคุณนั้นเอง

และอีกครั้งสำหรับ My Angel Guard ของฉัน เธอคอยช่วยเหลือฉันมาทั้งแต่เด็ก เวลาเกิดอุบัติเหตุ ฉันก็รู้สึกถึงเธอ เวลาป่วย ฉันก็รู้สึกถึงเธอ และล่าสุดไม่นานมานี้ เธอก็ช่วยฉันในการรักษาอาการปวดของฉัน การตอบแทนของฉันกับ My Angel Guard ก็คือ ทุกคนที่สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือทำบุญ ทำทาน ฉันจะส่งให้เธอเสมอ ยิ่งเธอแข็งแรง เธอมีความสุข เธอก็จะดูแลคุ้มครอง ปกป้องฉัน อย่างดี

บทความนี้ ฉันอยากเขียนให้ My Angel Guard ของฉันว่า ขอบคุณที่ดูแลฉันเป็นอย่างดี และฉันขอฝากตัว ให้เธอดูแลกัน และกัน ตลอดไป และหากวันไหนที่ฉันหลงผิด หรือผิดพลาดไป ช่วยเตือนสติ ช่วยบอกฉันด้วย ฉันขอขอบคุณจากใจ My Angel Guard ของฉัน

ขอบคุณค่ะ หากเธอกำลังเห็นที่ฉันเขียนอยู่ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โรคเชื้อราในช่องหู ภัยเงียบใกล้ตัว


สวัสดีค่ะ วันนี้จะมีเล่าถึงเรื่อง โรคเชื้อราในช่องหูค่ะ

สาเหตุที่มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ก็เพราะว่า ตัวเองมีอาการผิดปกติมา 2 - 3 คือ มีอาการคันหูตลอดเวลา ใช้คัตตอนบัคปั่นแล้วก็ไม่หายคัน แคะขี้หูออกก็ไม่หาย ปั่นไป ปั่นมา แคะไปแคะมา จนกระทั่งมีอาการหูอื้อ มีเลือดไหล และมีน้ำไหลออกจากหู เริ่มมีอาการปวดหูร่วมด้วย คันมาก ๆ และหูอื้อมาก กังวลจนนอนไม่ค่อยหลับค่ะ เลยไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก ที่โรงพยาบาลเมโยค่ะ แนะนำให้ไปวันพุธ และพฤหัสนะค่ะ หมอดูครบดีค่ะ

การตรวจด้วยการส่องกล้อง ก็ปรากฏว่า เป็นโรคเชื้อราในช่องหูค่ะ ลักษณะที่เห็นจากภาพของกล้องมาฉายบนหน้าจอโทรทัศน์ จะเป็นเป็นเส้นใยสีขาวเป็นขุย ๆ ติดอยู่บนผิวหนังในรูหู เมื่อคุณหมอหู เอาไม้เช็ดออกแล้ว จะเป็นเป็นสปอร์สีดำ ๆ เป็นจุด ๆ กระจายอยู่ในช่องหู และเยื่อแก้วหูอักเสบเป็นสีแดง มีรอยแผลเล็ก ๆ ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่ทำให้เลือดออกค่ะ หมอบอกว่ามีการอักเสบด้วยค่ะ เห็นแล้ว สยอง...ค่ะ

เลยถามคุณหมอว่า สาเหตุของโรคเชื้อราในช่องหู คืออะไรค่ะ

คุณหมอใจดีก็อธิบายให้ฟังว่า คนเป็นโรคนี้ อาจเกิดจากอาบน้ำสระผม แล้วไม่เช็ดทำความสะอาดหู บ่อยให้หมักหมม หรือมักจะมีนิสัยชอบแคะหู ปั่นหูบ่อย ๆ จนทำให้เกิดอาการอักเสบ และอธิบายให้ฟังอีกว่า ขี้หูของเรามีหน้าที่ที่สำคัญ ช่วยในการปกป้องแก้วหูจากสิ่งแปลกปลอม มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยป้องกันเชื้อรา และแบคทีเรีย เมื่อเราไปแคะขี้หูออกจนหมด ไม่เหลือไว้ จึงทำให้เกิดการติดเชื้อง่ายนั่นเอง

อาการของโรคเชื้อราในช่องหู โดยทั่งไป จะมีอาการคันหู ปวดหู มีน้ำหนองในหู หู้อื้อ เป็นต้น

การรักษา แพทย์หู จะทำความสะอาดช่องหู ทายาฆ่าเชื้อรา และให้ทานยาฆ่าเชื้อรา หรือถ้ามีการอักเสบจากแบคทีเรียร่วมด้วย ก็จะให้ยาปฏิชีวนะกินอย่างต่อเนื่อง และนัดดูอาการจนกว่าจะหายดี ประมาณ 2 - 3 วัน ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจต่อไป

การป้องกันมิให้เกิดโรคเชื้อราในช่องหู
1. งดปั่นหูด้วยไม้พันสำลี หรือแคะหูบ่อย ๆ
2. ใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดหูแค่อาทิตย์ละครั้งเพียงพอ ไม่ควรเอามาปั่นบ่อย ๆ
3. หากมีน้ำเข้าหูให้เช็ดให้สะอาด และแห้งด้วยไม้พันสำลี

หลังจากนี้ ทำให้จำขึ้นใจเลยค่ะ ว่าอย่าแคะหู ปั่นหูเล่น บ่อย ๆ มันก่อให้เกิดอันตรายต่อช่องหู และแก้วหูเราได้ค่ะ จำใส่ใจเลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ร่วมทำกุศลบริจาคหนังสือเรียนกันค่ะ

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ที่ใช้อินเตอร์เน็ตทุกคน หากใครเข้ามาอ่านบล็อกนี้ ก็ถือว่า เราคงได้ร่วมทำบุญด้วยกันมานะค่ะ พอดีว่า ได้รับเมล์จากเพื่อนคนหนึ่ง เขาส่งต่อมาเพื่อให้ช่วยส่งต่อไปอีกเรื่อย ๆ เพื่อเผยแพร่ หรือร่วมกันทำความดี ร่วมทำบุญ บริจาคทาน กัน ซึ่งเราเองก็เห็นว่า มีประโยชน์ และไม่ถือว่าเป็นเมล์ไร้สาระประการใด ที่เขาเรียกกันว่า สแปมเมล์ หรือเมล์โฆษณา 
เราจึงนำข้อความนั้น มาลงในบล็อกนี้ เพื่อเผยแพร่ต่อไป และหวัง เป็นอย่างยิ่ง ที่อยากให้ทุกคนที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมเวปนี้ ได้นำไปเผยแพร่ต่อ หรือส่งของไปร่วมบริจาคกันนะค่ะ 
เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
สวัสดี ครับ ผม ชื่อ กัมปนาท สุขนิตย์ ครูสอน วิชาชีววิทยา โรงเรียนชาติตระการวิทยา จ.พิษณุโลก สอนมา เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ที่ กันดารและห่าง ไกลความเจริญ มากที่สุด
  • มีนักเรียนประมาณ 1,000 คน แต่ มีครูแค่ 30 คนเอง ..... 
  • อาคารเรียนใช้การได้จริง 1 หลัง ซึ่ง ไม่พอกับจำนวน นักเรียน..... ปีนี้สอบ ติดมหาวิทยาลัย ประมาณ 60 กว่า คน จาก 160 คน ครับ ........ แต่เด็กที่ อ.ชาติตระการ ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี จึงไม่ค่อยได้เรียนต่อ 
ขอรับบริจาค หนังสือเรียน หรือหนังสือสอบเข้าเอนทรานซ์ หรือ หนังสือเสริมบทเรียน (ถ้าได้ชีท อ.อุ๊ อ.เผ่า อ.ต่าง ๆ จะดีมากครับ) หรือ text book ระดับ ชั้นมัธยมศึกษา หรือ อุปกรณ์การทดลองต่าง ๆ ......ที่ไม่ได้ใช้แล้ว เอามาให้นัก เรียนที่ โรงเรียนชาตระการวิทยา เพราะเด็กที่นี่ไม่ มีหนังสือดี ๆ อ่าน 
และจะได้สอบเข้า มหาวิทยาลัย มากกว่านี้ (เงินไม่รับครับ เพราะใช้ยากและไม่อยากมีปัญหาภายหลัง)
กรุณาส่ง โรงเรียนชาติตระการวิทยา 
 124 หมู่ 4 ต.ป่าแดง อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก 65170
 เบอร์โทรทางรร. 055-381-044 เบอร์โทรคุณครู กัมปนาท 
สุขนิตย์ 086-605-1549
 
ขอบคุณมากครับ .....สำหรับโอกาสที่นักเรียนโรงเรียนชาติตระการวิทยาจะได้รับ กัมปนาท สุขนิตย์
เป็นไงค่ะ เพื่อน ๆ ได้อ่านแล้ว รู้สึกเหมือนกันไหมค่ะว่า คุณครูแบบนี้ ก็มีด้วย น่าซึ้งใจแทนเด็ก ๆ ทุกคน อนาคตของชาติ จริง ๆ ค่ะ อ่านแล้ว เราก็ไม่อยู่เฉยนะค่ะ บอกต่อเพื่อน ๆ ช่วยกันส่งหนังสือ เอาหนังสือมาร่วมที่เรา เราจะเป็นคนนำส่งไปให้ทาง โรงเรียน หรือคุณครูกัมปนาท เอง หรืออยากจะช่วยเงิน ก็ไปซื้อหนังสือเก่า เอกสารข้อสอบ ต่าง ๆ ที่จัตุจักร ส่งไปให้ก็ได้นะค่ะ 
ร่วมกันนะค่ะ ทำกุศล กรรมดี ร่วมกัน การที่เพื่อนได้มาพบบล็อกนี้แล้ว อ่าน ก็ถือว่า เรามี กรรมดี ร่วมกันมา และหวังจะได้ทำกุศลกรรมดี ร่วมกันไปอีกนะค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
ตู๋ tusora@hotmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

OPEN WATER DIVER EXPERIENCE AT TAO ISLAND

สวัสดีกันอีกครั้ง วันนี้ตู๋จะเล่าประสบการณ์ที่ไปเรียนดำน้ำแบบ SCUBA คอร์ส O.W.D. หรือ Open Water Diver ที่เกาะเต่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันสักนิด เพื่อใครสนใจอยากไป หรือจะชวนไปดำน้ำ Fun Dive ก็ยินดีอยากได้เพื่อนใหม่เสมอนะค่ะ การเรียนดำน้ำที่เกาะเต่าคราวนี้ ได้ไปเรียนในหลักสูตร SSI ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ประหยัดราคาถูกกว่าหลักสูตร PADI แต่เนื้อหา การเรียน การสอน เหมือนกันหมดนะ (แอบลองดูแบบเรียน และลองทดลองหาข้อมูลมาแล้ว confirm จ้า หากใครยังสงสัยก็สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Dive Master ของแต่ละสถาบันได้จ้า) สำหรับคนติดแบรดน์ ก็ต้องเลือก PADI ส่วนคนไม่ยึดติด และต้องการประหยัดกระเป๋าก็เลือก SSI (จากที่คุยกับ Dive Master ของทั้งสองที่ แนะนำไว้ว่า สำหรับคอร์ส Open กับ Advance ให้เลือกของ SSI ส่วนหลักสูตรขั้นสูงต่อไป ก็ย้ายมาเรียนของ PADI ก็จะโอเคจ้า.... ปรับเปลี่ยน สลับกันได้)

การเรียนดำน้ำหลักสูตร OPEN WATER DIVER ซึ่งต่อไปเราขอเรียกว่า Open หรือ OWD นะ จะได้เขียนสั้น ๆ หน่อย (เป็นอันเข้าใจกันนะค่ะ) เป็นหลักสูตรเริ่มต้นของคนที่สนใจจะเรียนดำน้ำ อยากได้รับประสบการณ์ชีวิตโลกใต้น้ำ Underwater Life ซึ่งเป็นอีกโลกหนึ่งที่สวยงามมาก ๆ ครูหมี (Dive Instructor) หนุ่มหล่อ คมเข้ม ที่สอนเรานั้น บอกไว้ว่า โลกประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำมากกว่าพื้นดิน โดยมีพื้นน้ำถึง 70% เป็นพื้นแผ่นดินเพียง 30% เท่านั้น และเชื่อไหมค่ะว่า พืชใต้น้ำก็สามารถผลิตอ๊อกซิเจนได้มากกว่าพืชบนบกถึง 10% ทีเดียว ดังนั้น การอนุรักษ์สิ่งมีชีวิต พืช และสัตว์ใต้น้ำจึงเป็นการอนุรักษ์ที่สำคัญมากที่เดียว ซึ่งหากจะบรรยายไปมากกว่านี้ จะออกนอกเรื่องไปถึงเรื่องการปลุกเลือดรักษ์สิ่งแวดล้อมกันเกินไป จึงขอหยุดไว้ตรงนี้ก่อน จะกลับไปเล่าถึง เรื่องราวเริ่มต้นการเดินทางมาเรียนดำน้ำที่เกาะเต่ากันก่อน ตั้งแต่การตัดสินใจจองเรียนดำน้ำที่เกาะเต่าเลยแหละ.........มะ...ย้อนเวลากลับไป เมื่อปีที่แล้วในงาน TDEX งานนิทรรศการที่นักผจญภัย นักเดินป่า นักดำน้ำต้องไป........
  ณ งาน TDEX ปี 2010 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต สองสาว สวย แบบเซอร์ ๆ มาเดินเที่ยวงานนี้เพื่อจะซื้ออุปกรณ์เดินป่า และหาที่เที่ยวใหม่ ๆ เดินไปดูกล้องถ่ายใต้น้ำ อยากดำน้ำ ไปเรียนดำน้ำกับเถอะ... อยู่ดี ๆ ก็ชวนกันไปหาแพ็กเกจเรียนดำน้ำดีกว่า ระหว่างเลือกว่าจะไปเรียนที่ไหน ก็คุยกันว่า ระหว่าง กรุงเทพ กับเกาะเต่า ไปเรียนที่ไหนดี ถกกันไปมาว่า เรียนที่กรุงเทพ เรียนในสระว่ายน้ำ ไม่ได้บรรยากาศเหมือนที่ เรียนในทะเลนะ แต่เรียนในทะเล ก็มีเวลาน้อย ถ้าทำไม่ได้ ไม่ผ่านแล้วทำยังไงดี แล้วมีคลื่นลม จะไหวไหมเนี่ย แล้วราคาแต่ละที่ต่างกันอย่างไร ก็สรุปให้เพื่อน ๆ ฟังแบบคราว ๆ ดังนี้


เรียนดำน้ำที่กรุงเทพ ราคาอยู่ในช่วง 7000 - 15000 บาท 1. เรียนตอนเย็น หรือวันเสาร อาทิตย์ ที่สระว่ายน้ำ 4 ครั้ง (หรือแล้วแต่หลักสูตร เลยไม่ชอบ เพราะขี้เกียจเดินทางไปเรียนบ่อย ๆ ไกลบ้าน แล้วต้องฝ่ารถติดกลับบ้านอีก) 2. ต้องจ่ายเงินเพิ่มค่าไปทริปที่ทะเล ค่าเดินทาง และค่าที่พักเพิ่ม อีก เท่ากับเสียสองต่อ (เราไม่ชอบเพราะคิดไม่รอบคอบ) 3. ดีตรง สามารถมาเพิ่มเติมทักษะ หรือทวนทักษะได้ง่าย (จ่ายเพิ่มแต่ค่าเช่าอุปกรณ์)

เรียนดำน้ำ ที่เกาะเต่า ราคาอยู่ในช่วง 8000 - 20000 บาท 1. เรียนในทะเลจริง ได้บรรยากาศ คลื่นลม ความเค็ม ความตื่นเต้น การเมาเรือ ภาวะขาดน้ำ เป็นต้น เรียกว่าสถานะการณ์จริง ๆ ตลอดเวลาที่เรียน 2. เรียนเสร็จกินอาหารอร่อย นอนไม่ไกล ไม่ต้องเดินทาง รถติด เหนื่อยแล้วพัก บรรยากาศดี 3. เกาะเต่า เป็นที่ผลิตนักดำน้ำชั้นนำของโลก แสดงว่าต้องดีจริง จบจากที่นี้ต้องเท่มาก ๆ อ่ะ 4. ไม่ดีตรง เวลาเรียนจำกัด ต้องตั้งใจเรียน ทำจริง ไม่เล่น เพราะต้องเป็นให้ได้ในเวลาที่จำกัด และเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย

ต่เหตุผลหลักของเราจริง ๆ  คือ อยากไปเที่ยว เกาะเต่าอีกครั้งอ่ะนะ คนเรา แหะ ๆ สรุปก็เลยตกลงกันว่าจะไปเรียนดำน้ำที่เกาะเต่า คราวนี้ก็มาถึงคิวการเลือกโรงเรียนสอนดำน้ำที่เกาะเต่า โรงเรียนไหนดีหนอ โรงเรียนไหนน่าไป คิดหนักเลยล่ะ ที่นี่ ก็เลยเก็บใบปลิว โปรโมชั่น กลับบ้านไปนอนคิดอีกสักคืน และเปิดเวปไซด์เลือกดู location ที่พัก อีกที เพื่อความมั่นใจ ก็ยังสรุปไม่ได้อีก เลยต้องกลับไปที่งาน TDEX อีกครั้ง ได้ไปคุยกับสองสามแห่งที่สอนดำน้ำที่เกาะเต่า ก็คุยถูกใจกับครู และได้เห็นครูสอนดำน้ำตัวดำ ๆ ที่ชื่อ ครูหมี ก็จำได้แต่ตัวโต ๆ ดำ ๆ ไม่คิดว่า จะเป็นครูผู้ฝึกสอนเราดำน้ำในวันนี้ (อิอิ บุพเพ อาละวาด....) เมื่อคุยถูกใจ ถูกคอ กับครู ก็ต้องจองที่ดำน้ำที่นี้ ณ Sairee Cottage Diving นั้นเอง.... ตอนจองเรียนดำน้ำ ถามครูไว้ว่า ต้องเตรียมพร้อมร่างกายอย่างไร ครูบอกว่า ออกกำลังกายหน่อย จะได้มีแรงแบกถังอากาศ เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง ฟิตร่างกายให้แข็งแรง ก็โอเค ระหว่างปีนั้น ทำให้พวกเราขยันไปฟิตเนส ออกกำลังกาย เพื่อเตรียมพร้อมเหมือนกัน และสักพัก ก็ขี้เกียจเหมือนเดิม  (ไม่เอาแหละ ออกนอกเรื่องไปอีกแล้ว กลับมาสู่ ณ ปัจจุบัน) เราย้อนเวลากลับไปให้รู้ว่า เราจองเรียนดำน้ำได้อย่างไรแล้วนะ ดังนั้น เรามาว่ากันต่อเรื่องของเราเกี่ยวกับการเรียนดำน้ำที่เกาะเต่ากันดีกว่า

  สำหรับการเรียนดำน้ำ OPEN WATER DIVER ของเราเรียนทั้งหมด 4 วัน ดังนี้


วันแรก ช่วงบ่าย เรียน ทฤษฎีเกี่ยวกับเป็นความรู้เบื้องต้นของการดำน้ำ บทที่ 1 -3 พวกเราอ่านหนังสือจากคู่มือภาษาไทยครั้งแรก กลุ่มแรก ที่มีคู่มือนี้ ทำให้ง่ายสำหรับการเรียนการสอน ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น งานนี้ อาจารย์หมี หรือครูหมี (น้ำ) (Dive Instructorของพวกเรา ให้พวกเราพักสบาย ๆ เอาหนังสือไปอ่านเองก็ได้ มีอะไรไม่เข้าใจก็มาถาม แล้วให้ทำแบบฝึกหัดบทที่ 1 -3 พวกเราทำกันบ่ายนั้น เหลือทำไม่ได้แค่ 2 ข้อเอง เก่งจริง ๆ คนอะไร อิอิ...ชมตัวเอง ข้อที่ทำไม่ได้ ก็คือ การดูตารางแบ่งกรุ๊ปดำน้ำ และการคำนวณค่าไนโตรเจนที่เหลือ หรือเวลาสูงสุดในการดำน้ำณที่ความลึกนั้น ๆ (ประมาณนั้นแหละ เป็นข้อที่สำคัญเชี่ยว)
 หนังสือคู่มือการเรียนดำน้ำขึ้นพื้นฐาน OPEN WATER DIVER เป็นหนังสือภาษาไทย ฉบับแรกที่มีการจัดพิมพ์ขึ้น ของสถาบันสอนดำน้ำ SSI และเราสองคน ก็เป็นนักเรียนสองคนแรก ของ Sairee Cottage Diver ที่ได้เรียนด้วยหนังสือเล่มนี้ (อยากได้มาครอบครอง แต่มิได้มีจำหน่าย หรือขาย อาจารย์หมี ให้ไปโหลดเองในเวปไซด์จอง SSI โห....ใจร้ายอ่ะ อาจารย์อ่ะ ....... วัยรุ่น เซ็ง.....)
พวกเราเริ่มเรียนกันด้วย การลงทะเบียนในเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ การทำแบบสอบถามสุขภาพ (เป็นกฏหมาย และข้อบังคับ ที่นักดำน้ำทุกคนต้องทำตลอดที่จะไปดำน้ำ ไม่ว่าทริปใดก็ตาม เขาจะให้กรอกแบบสอบถามสุขภาพเสมอ เพื่อความปลอดภัย..... ครูหมี เริ่มต้นอธิบายถึงรายละเอียดของการเรียนการสอน กำหนดการคราว ๆ ในแต่ละวัน ดังนี้ วันแรก เริ่มต้นภาคบ่าย เรียนทฤษฏี เบื้องต้นของการดำน้ำ ชื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำน้ำ เป็นต้น


วันที่สอง ภาคเช้า เรียนทฤษฏี และแนะนำอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการดำน้ำ หัด set อุปกรณ์ ตื่นเต้นมากเลย ทำผิดทำถูกด้วย ภาคบ่าย ลงดำน้ำ 1 Dive เพื่อฝึก ทักษะต่าง ๆ เช่น การสื่อสารใต้น้ำ การเคลียร์หู การเคลียร์น้ำเข้าหน้ากาก การถอดเร็กกูเรเตอร์ใต้น้ำ การช่วยเพื่อน และอื่น ๆ วันที่สาม ภาคเช้า เรียนทฤษฏี และการคำนวนค่าต่าง ๆ เพื่อใช้ในการทำ Dive Profile ภาคบ่าย ลงดำน้ำ 2 Dive ที่ความลึก สูงสุด 12 m และเรียนการลอยตัวด้วยการใช้ปอด


วันที่สี่ เป็นการฝึก dive 2 Dive ที่ความลึกสูงสุด 18 m และจบการศึกษา โดย Dive แรก ลงไปลึกสุด และทำ Activity ต่าง ๆ เช่น ตีกังกาในน้ำ ถอด fin เป็นต้น Dive สองเป็นการชมธรรมชาติ ดูประการัง ดูปลา สำรวจใต้ทะเลในความลึกไม่เกิน 18 m สนุกมากเลย ไว้จะเล่าให้ฟังต่อไป และก็จบด้วยการลงข้อมูลใน Dive Log ของเราเอง และส่งมอบบัตรประจำตัวนักดำน้ำระดับ OWD อิอิ... รู้โปรแกรมกันคราว ๆ แล้ว ต่อไปจะเล่าถึงกิจกรรม และบรรยากาศในแต่ละวันให้ฟังกันนะค่ะ วันแรก หลังจากเดินทางเข้าสู่ที่พัก รายงานตัว check in อาบน้ำ กินข้าว ก็ลงทะเบียน ข้อมูลส่วนตัว และตอบคำถามสุขภาพสำหรับนักดำน้ำ อาจารย์อธิบายรายละเอียดของคอร์ส และให้หนังสือคู่มือไปอ่าน เราเอาหนังสือไปอ่าน และกินเค็กช็อกโกแล็ต ที่ร้าน Blue Wind Resort เป็นขนมโฮมเมดแบบฝรั่ง รสชาดก็แบบฝรั่ง บรรยากาศของร้านติดทะเล นั่งสบาย ๆ แบบขันโตกทางเหนือบ้านเรา สำหรับการเรียน การสอนวันแรก ไม่มีอะไร เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองจากการอ่าน และทำแบบฝึกหัด จะเห็นได้จากภาพว่า สองเรา ชิว ๆ สบาย ๆ กันแค่ไหน .................


วันสุดท้าย วันที่สี่ วันนี้แต่เดิมมีกำหนดดำน้ำ 2 Dive รอบเช้า แต่เปลี่ยนมาเป็นรอบบ่ายแทน (มีเหตุผล แต่ไม่เล่าอ่ะ) วันนี้มีเวลาเหลือเฟือ เลยตื่นสายวันหนึ่ง กว่าจะลุกจากที่นอนก็ 7.00 น. ตื่นมาออกไปเดินเล่น ที่ชายหาด โดยวันนี้มุ่งไปที่ต้นหาดทรายรี พบว่า มีอนุสาวรีย์เสด็จเตี่ย ร.5 อยู่ และมีร้านค้าน่าสนใจอีกมากมาย แวะถ่ายรูปมาให้ชมกันด้วย.... ไปชมกันนะค่ะ
หากคุณไปเที่ยว คุณรู้ไหมว่า ช่วงเวลายามเช้า มีอะไรให้คุณได้พบเห็นมากกว่าที่คิด ได้เห็นธรรมชาติ และความงามที่สดชื่น มาค้นหามากมาย..... (คราวหน้าไปเที่ยวที่ไหน ก็อย่าลืมตื่นเช้าหน่อยนะค่ะ)
หลังจากนั้น ก็กลับมาที่บ้านพัก บัดดี้เราตื่นแล้ว ไม่ต้องปลุก ....เย้..... หลังจากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัว ไปกินข้าวเช้ากัน หิวแล้วอ่ะ.... อาหารเช้าที่เดิม Wind Resort เมนูเดิมด้วย ไม่เล่าและ หลังจากนั้นก็เดินเล่น ถ่ายรูป และกลับมาอาบน้ำเตรียมตัว ไปดำน้ำ 2 Dive สุดท้าย ก่อนเรียนจบ ที่ความลึก 18 m จ้า....
11.00 น. อาจารย์หมี ให้ไปกินข้าวให้เรียบร้อย ก็กินข้าวผัดเหมือนเดิม 2 คน 1 จาน จะได้ไม่อิ่มเกินไป แล้วก็ไปเอากระเป๋าอุปกรณ์ ตรวจสอบอุปกรณ์ wet suit, fin, BC ครบ ออกเดินทางไปขึ้นเรือได้เลย......
หลังจากขึ้นเรือ ครูหมี ก็มีของเล่นมาให้ Surprise กัน คือ นาฬิกาเข็มทิศ ครูหมีบอกว่า วันนี้จะเรียนการใช้เข็มทิศ และให้เราทำทักษะเกี่ยวกับเข็มทิศ และมีการทำกิจกรรมสนุก ๆ เช่น ตีลังกา ถอดฟินใต้น้ำ เป็นต้น    ส่วน Dive สุดท้าย จะพาเราไปดำน้ำเล่น ดูชีวิตใต้ทะเล ดูปลาการ์ตูน ปลาวัว และอื่น ๆ วันนี้ต้องสนุกแน่ ๆ อาจารย์บอก สบาย ๆ สนุก ๆ วันนี้ ทำเอาเราสองคนดีใจ ตื่นเต้น เพราะวันนี้จะลงดำน้ำที่ความลึกสูงสุดคือ 18 m เย้.... ตื่นเต้น วันนี้เราเอาวีดีโอมาถ่ายด้วย ยังไง รอดูนะ บัดดี้กำลังตัดต่ออยู่ รอนานหน่อย เพราะของดี ต้องรอนาน ๆ ให้มีค่าหน่อย 555555..........
มาชมบรรยากาศวันสุดท้าย ก่อนลงดำน้ำกัน
เริ่มต้น Dive แรกวันสุดท้ายด้วยการดำที่ Japanese Garden 10 m นาน 42 นาที โดยการลงน้ำแบบก้าวลงเหมือนเดิม (มีถ่าย VDO ไว้ด้วย รอดูนะ) แล้วลงใต้น้ำด้วยการลงใกล้เชือก แต่วันนี้ห้ามจับเชือก และค่อย ๆ ลง โดยการเคลียร์หูไปด้วย วันนี้เราเคลียร์หูผ่าน ไม่ติดขัด สบายมาก ๆ จนลงมาถึงระดับหนึ่ง ครูหมีส่งสัญญาณให้ว่ายตามไป ที่พื้นทราย แล้วให้สัญญาณนั่งลงคุกเข่าเหมือนเดิม โดยเริ่มต้นกันที่ การเคลียร์หน้ากาก โอเคผ่าน และตามมาด้วยการนั่งขัดตะมานลอยตัวโดยการใช้ปอด ผ่านทั้งคู่ หลังจากนั้นก็ให้ทำทักษะการใช้เข็มทิศ โดยให้ว่ายไปที่ทิศเหนือก่อน แล้วกลับมาทางทิศใต้ โดยให้ไปกันสองคนกับบัดดี้ ครูรออยู่ที่เดิม ระหว่างว่ายไปบัดดี้ก็ว่ายมาชนเราด้วยแหละ พอระยะทางครบตามที่ตกลงกันไว้ก็กลับไปทางทิศใต้ ตอนแรกดูน่ากลัวนิด ๆ พอไม่มีครู ทะเลมันดูไม่มีทิศทาง ไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย แต่พอว่ายกลับไปทางทิศใต้ และเริ่มเห็นครูหมี ก็เริ่มใจชื้นขึ้น ระหว่างนั้น ก็มองบัดดี้ไปด้วย กลัวต้องใช้กฏ 1 นาที ถ้าหลงจากบัดดี้ เมื่อว่ายกลับมาถึงครูหมีแล้ว ครูหมีก็ให้ลองถอด Fin ลองกระโดดตีลังกา ลองกระโดดลอยตัว ลองว่ายแบบไม่มี fin ซึ่งก็ทำได้ดีทุกคน และสนุกกันด้วย มันส์มากเลยแหละ หลังจากนั้น ก็ให้ว่ายตามไปยังจุดที่ลึกที่สุดคือ 18 m โดยอาจารย์ให้เราดูเกจ และจับมือแสดงความยินดีที่ผ่านระดับความลึกนี้ อาจารย์ทำเหมือนกันกับบัดดี้เรา จากนั้น ก็ให้สัญญาณขึ้นจากน้ำ และสัญญาณทำ Safety Stop 5 m 3 min เหมือนเดิม ซึ่งก็ทำได้ดีระดับหนึ่ง แล้วจึงขึ้นสู่ผิวน้ำ  และว่ายกลับไปที่เรือ ดื่มน้ำ กินแตงโม เยอะๆ และเตรียมถังอากาศใหม่ เพื่อทำ Dive 2


Dive 2 วันนี้ พวกเราไปดำกันที่ Twin Rock การดำ Dive นี้ เป็น Fun Dive พาไปดูปลา ลอดถ้ำ ดูปะการัง ปลาวัว ปลากุ้ง และอื่น ๆ พวกเราตื่นเต้นมาก และ Dive นี้ มีเพื่อนร่วม Dive มาอีกท่าน เป็นชาวต่างชาติที่มาเรียนคอรส์ Dive Master จะร่วมไดฟ์ไปกับเราด้วย ซึ่งเป็นว่ายอยู่ด้านหลังปิดท้ายขบวน เราเห็นท่าดำ และการลอยตัวของเขาแล้ว นิ่งมาก ๆ ไม่ต้องใช้มือช่วยเหมือนครูหมีเลย พวกเรายังมีแอบใช้มือช่วยพยุงตัวกันอยู่เลย แหะ ๆ

Dive สุดท้าย ตอนลงจากเรือ พวกเราทั้งคู่ ใช้ท่ายืนเอาหลังลง ซึ่งพบว่าลงง่ายกว่ากันเยอะ สบายด้วย ชอบ ๆ คราวต่อไปจะใช้ท่านี่แหละ อิอิ...จอง ไว้แล้ว..... หลังจากลงมากันจนครบทุกคน ครูหมีก็ให้สัญญาณดำลงน้ำ โดยค่อย ๆ ลง ช้า ๆ และเคลียร์หูไปด้วย รอบนี้ก็โอเคเคลียร์ด้วยดี แต่น้ำเข้าแว่นตาดำน้ำ ต้องเคลียร์แว่นตาด้วย แต่ก็โอเค ผ่านไปด้วยดี พอลงมาถึงระดับหนึ่ง ครูหมีให้สัญญาณให้ว่ายน้ำตามไป บริเวณที่พวกเราลง เป็นเหมือนมีภูเขาลูกเล็ก ๆ อยู่ใต้น้ำเต็มไปหมด ซึ่งจุดดำน้ำ Twin Rock นี้ ขึ้นชื่อเรื่องของจุดดำน้ำที่สวยงาม มีปะการัง และปลาเยอะมาก เป็นแหล่งของปลาวัว กุ้ง ปลาการ์ตูน ปลากระเบน ปลาเทวดา ปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อ ปลาปักเป้า เป็นต้น (อยากเจอะเต่า แต่ไม่ได้เจอะ เสียดายมาก ๆ เลย) ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะเจอะเยอะแยะมาก โดยเฉพาะกุ้งตาบอดกับปลา ที่อยู่แบบพึ่งพากัน และปลานีโม่ที่น่ารัก ปลาวัวตัวใหญ่ ปลาปั๊กเป้าตัวกลม ปลากระเบนลายจุดฟ้า สนุก ตื่นเต้น เร้าใจมาก ๆ โดยเฉพาะตอนว่ายรอดถ้ำ ทีละคน ก็รอดปลอดภัยดี ไม่มีอันตราย เป็น Fun Dive ที่สนุกมาก ๆ เลยค่ะ จบ Dive นี้ ด้วยความสนุก มีความสุข ตื่นเต้น จนอยากดำ

Dive ต่อไปอีก.... หลังจากกลับจากการ Dive อาจารย์ก็ให้กรอก Dive Log สมุดประจำตัวของนักดำน้ำ และมอบบัตรนักดำน้ำประเภท OPEN WATER DIVER ให้ เป็นบัตรตลอดชีพ ........................และแนะนำคอร์ส Advance Open Water Diver ว่ามีอะไรบ้างให้ฟัง (อยากเรียนเร็ว ๆ จัง ..........ไปกันเมื่อไรดีหนอ บัดดี้ที่รัก............)
จบแล้วจ้า ...............พูดเล่าด้วยตัวอักษร ไม่เห็นภาพ ก็ต้องอาศัยจินตนาการนะจ๊ะ ไปแล้วจ้า ไว้พบกันใหม่นะจ๊ะ
บทความเกาะเต่า และเกาะพงัน ปี2010

Koh Tao My Trip Way

การเดินทางครั้งนี้ สู่เกาะเต่า สถานที่ยอดนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของการดำน้ำ จุดมุ่งหมายของเราคือ ไปเรียนดำน้ำในคอร์ส Open Water Diver ซึ่งจองไว้แล้วที่ Sairee Cottage Diving ตั้งแต่งาน TDEX 2010 ปีที่แล้ว และก็เจอะโรคเลื่อน ตามกระแสของค่าเงินบาทที่ไหลออกจากกระเป๋าทุกวัน ทุกวัน ตลอดจนกระแสการเมือง กระแสกีฬาสี ที่ทำให้เราไม่กล้าออกไปไหน อีกทั้งสภาพดินฟ้าอากาศ ที่ทำให้งงจนทุกวันนี้ ว่ามันเป็น ฤดูอะไรกันแน่นะ หรือนี้คือ ความหมายของคำว่า ฤดูที่แตกต่าง (5555 คิดไปได้) แม้ว่าที่ตกลงกันว่าจะไป ก็มีข่าวว่า...พายุเข้าเกาะเต่า ฝนตกอยู่ แต่เราจะไปอ่ะ เอาซิ เราสองคนจะไป ดังนั้น พายุต้องหลบแล้วจะ  แบบว่าสั่งได้อ่ะ....และแล้วโชคชะตา ก็นำพา พวกเราออกเดินทางกันอีกครั้งจนได้ พายุยังต้องสงบ และสยบ เราสอง ..... 55555

กำหนดการเดินทางคือเย็นวันที่ 23 มิ.ย. 54 ฝนตกก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพ แต่เราก็ไม่หวั่น ออกเดินทางไปสู่ ถนนข้าวสาร ออฟฟิคบริษัทลมพระยา เป็นการเดินทางแบบนั่งรถ ไปต่อเรือ .... เราไปถึงที่ถนนข้าวสาร ทุ่มกว่า ๆ หลังจาก check in จองที่นั่งแล้ว ก็ฝากกระเป๋า และเดินไปกินโจ๊กบางลำภู เจ้าดัง...เจ้าประจำ แล้วเดินดูของเล่น เพื่อรอรถเข้าท่า ...(ปกติ มันก็เข้าท่าประมาณ 2.30 ทุ่ม เลทไปบ้างก็ 3 ทุ่ม ทำใจนะ...)



[โจ๊กบางลำภู....เจ้านี้ ขอแนะนำ.....อร่อยมากจ้าาาาาาาาา  ราคาเหมาะสม สมความอร่อย เนื้อข้าวละเอียด หมูหมัก ไข่ลวกพอดี ตับนิ่ม อร่อยมาก ๆ จ้า มีให้เลือกทั้งไข่ลวก ไข่เยี่ยวม้า .... งานนี้ ใครยังไม่ได้กินข้าวเย็น ก็มาทานก่อนเดินทางได้เลย

หลังจากทานเสร็จ ก็เดินเล่น ช็อปปิ้ง ดูของก็ได้ สนุกดี ผัดไทย ข้าวไข่เจียว ก็มีขาย...ใครชอบอะไร ก็เลือกได้ตามสบายจ้า]


การเดินทางเริ่มต้น 3 ทุ่ม แวะพักให้หาข้าวกินตอนตี 1 (ปลุกทำไหมเนี่ย....คนจะนอน แต่ก็ลงไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำสะอาดดี แต่อาหารไม่ได้กิน เลยไม่รู้อ่ะนะ ใครจะไปก็ไปกินกันเอาเองแล้วมาเล่าให้ฟังด้วยนะ กินข้าว ตี 1 อร่อยไหม...) ถึงที่ท่าเรือ ดอนสัก จังหวัดชุมพร ประมาณ ตี 5.30 ก็ไปนั่ง ๆ นอน ๆ รอที่ท่าเรือ มีเก้าอี้นอนให้นั่ง ลมพัดสบาย ๆ ห้องน้ำสะอาดพอใช้ ที่ชายหาด ก็สะอาดดี ไปวิ่งเล่น นั่งเล่น เดินเล่นแบบ พวกเราก็ได้ เดินไปได้สุดหาด มีที่ถ่ายรูปสวย ๆ มาอวดกันได้เลย... ยังไง ก็ดูเล่นไปก่อนนะ

บรรยากาศริมหาด ที่นั่งรอ เดินออกมาอีกนิด ก็มีความสุขดี มีชาวต่างชาติ ออกวิ่งเพื่อสุขภาพยามเช้า พอ 6 โมง เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกให้ไป check in ตั๋วเรือ ได้รับสติกเกอร์มาติดหน้าอกเพื่อบอกว่าเราไปที่เกาะไหน เช่น เกาะนางยวน เกาะเต่า เกาะพงัน เป็นต้น และจะได้แถบสีต่าง ๆ กันมาติดที่กระเป๋าเดินทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่ ยกลงจากเรือได้ถูกเกาะด้วย ไม่หลงไปเกาะอื่น ดังนั้น อย่าลืมติดกันนะจ๊ะ.....






นั่งรอที่ริมหาด ด้วยเก้าอี้นอน เดินเล่นที่ชายหาด ออกไปถ่ายรูป รอเวลาเดินทาง เรือออก 7.00 น. ประมาณ 6.45 น. เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกให้ขึ้นเรือเร็วของลมพระยา ที่นั่งก็ติดแอร์ สบาย ๆ หรืออยากจะนั่งแบบ VIP ก็เพิ่มเงินอีกนิด 100 -200 บาท คุณจะได้ห้องส่วนตัว VIP เลยแหละ ใครชอบแบบไหน ก็ตามจริตนั้นนะจ๊ะ.....

เรือออกเดินทางจากท่าเรือทุ่งมะขามน้อย จังหวัดชุมพร ประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงที่เกาะนางยวน ก่อน คนที่จะพักที่เกาะนางยวน ก็ลงไป ส่วนคนที่เหลือ ก็รีบถ่ายรูปกันนะจ๊ะ เกาะนางยวนสวยมาก ใครอยากมาก ก็ไว้มา One Day Trip ได้ มาขึ้นจุดชมวิว ถ่ายรูป และดำน้ำ snoker ได้จ้า..... ถ้าไปเรือแท็กซี Taxi Boat ก็ประมาณ 300 บาท ไปเที่ยวชมเฉย ๆ ถ้าจะไป One Day Tour ก็ 990 บาท โดยประมาณนะจ๊ะ (รวมค่าเข้า รวมอุปกรณ์ดำน้ำจ้า)


(ทริปนี้ ไม่ได้ไปเกาะนางยวน ได้แต่ดำที่ Japanese Garden ข้าง ๆ เกาะ ไม่ได้ขึ้นเกาะ ไว้ไปดูภาพบรรยากาศในทริปที่แล้วนะจ๊ะ ทริปเก่า เกาะเต่า เกาะนางยวน)
ภาพนี้ เอาลงให้ดู เพราะชอบบรรยากาศ ของชาวต่างชาติ ที่มาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม so cool มาก ชอบ.....(ส่วนตัว เลยอยากโชว์)
หลังจากเรือออกจากท่าเกาะนางยวน ก็วิ่งมาอีกไม่เกิน 45 นาที ก็ถึงเกาะเต่า (น่าจะประมาณ 30 นาที พอดีจำไม่ได้แน่นอนอ่ะ มัวแต่ถ่ายรูปอยู่....แหะ ๆ )

เมื่อเรือ เข้าเทียบท่าบ้านแม่หาด ณ เกาะเต่า ก็ต้องโทรไปที่รีสอร์ท เพื่อให้รถมารับเราเข้าที่พัก ระหว่างทางก็จะมีแท็กซี่ มาเรียกตลอด ราคาแท็กซี่ที่เกาะเต่า เริ่มต้นที่ 150 บาทต่อคน (แพงในระดับหนึ่งนะจ๊ะ ไปเที่ยวแล้วต้องทำใจจ้า.... สำหรับคนไทย ไม่อยากแนะนำให้ขับรถเช่า เช่น มอเตอร์ไซด์ เพราะมันค่อนข้างอันตรายจ้า ทั้งชาวต่างชาติ ที่ขับซิ่ง ขับตามใจฉัน และเส้นทางที่คดเคี้ยว สูงชัน บาง อันตรายจริง ๆ จ้า...) 
จุดนัดพบ รอรถมารับ ก็คือหน้า เซเว่น มาทีไร ก็นัดหน้าเซเว่น ตลอด อ๋อ.... อีกจุดหนึ่งที่แนะนำ ถ้ารถยังไม่มารับ ให้เดินไปทางซ้ายมือของท่าเรือ ไปถ่ายรูปกับเต่าสัญญาลักษณ์ของเกาะเต่ากันหน่อยก็ดีนะ น่ารักดี เป็นไฮไลต์ดีด้วยจ้า......

ทริปนี้ สองสาวสวย....(เหลือน้อย...) บอบบาง อ้อนแอ้น อ่อนแอ... (เขียนไปก็จะอ้วกไปด้วย ทำไปได้อ่ะนะ คนเรา) มาถึงเกาะเต่าแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปกับเต่า แน่นอน และไปรอที่หน้าเซเว่น และกิจกรรมอีกอย่างคือกิน ไก่ทอด เจ้าเดิม แม่ค้าคนเดิม เหมือนปีที่แล้วเลย รสชาด ไม่มีคอมเมนต์ แต่กินได้ ร้อน ๆ ประทั่งชีวิตน้อย ๆ ของสองเรา.... (น่าสงสารไหม... ทั้ง ๆ ในเรือ ก็นั่งกินขนมมาตลอดทาง 5555)
ร้านเนี่ยแหละ ไปเกาะเต่า ท่าเรือ หน้าเซเว่น ไปวันไหนก็เจอะจ้า.....
เมื่อรถมารับไปที่ Rairee Cottage Diving ก็ประมาณ 10 - 15 นาที ไม่ไกลจากท่าเรือเลย ท่ารีสอร์ทก็มีป้ายต้อนรับ มีชื่อด้วย เท่...ดี เลยถ่ายมาให้ดูด้วยแหละ.... ดูอบอุ่นดี

เข้า check in จ่ายเงินเลย หรือจะจ่ายวันสุดท้ายก็ได้ (แต่อย่าจ่ายบัตรเครดิตนะ ชาร์ต 5 เปอร์เซ็นต์อ่ะ แพงมาก ๆ ) และต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนให้เป็นหลักฐานแลกกับกุญแจห้องไว้ด้วย อย่าทำหายละ....มีชาร์ตนะ จะบอกให้....

เมื่อ check in เรียบร้อย ก็มานั่งชิว ๆ หาข้าวกิน ที่ร้านอาหาร มื้อแรก ก็ Enjoy Eatting กันเลยแหละ อาหารอร่อยใช่ได้เลย วันแรกเริ่มต้น ด้วยสลัดทูน่า ข้าวผัดกุ้ง อร่อยที่สุด ลองมาดูหน้าตากันซิ ว่าน่ากินไหม

อาหารจานใหญ่ ประมาณสำหรับ ชาวต่างชาติ ราคาก็หลักร้อยนะจ๊ะ ไปเที่ยวแล้ว Enjoy Eating อย่างคิดมากนะค่ะ.... พวกเราสรุปแล้ว ส่วนมาก กินกันสองคน ตกมื้อละ 350 บาทสองท่าน โดยประมาณ ยกเว้นมื้อเย็น กินบาบีคิว กินสเต็ก อร่อย ๆ ก็ราคาอร่อย ๆ ไปด้วยจ้า........... ขอบอกว่า บาบีคิว ที่ร้านอาหารที่ทรายรี อร่อยมาก อร่อยจริง ๆ รับประกัน กินมาแล้วอ่ะ ไว้จะเล่าให้ฟังต่อไปนะจ๊ะ

หลังจาก ท้องอิ่ม หนังตาก็หย่อน เริ่มง่วง ก็นั่งเล่น ชิว ๆ ริมหาด ที่ร้านอาหารเดิม รอไปเข้าคอร์สเรียน OPEN WATER DIVER สำหรับหัดดำน้ำแบบ SCUBA ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไปนะจ๊ะ .... (อดทนรอไปก่อน ของดี ต้องใจเย็น ๆ ขอบอกสนุกมาก ๆ )

สำหรับวันแรก... กิจกรรมก็คือ กิน เล่น เที่ยว ถ่ายรูป อ่านหนังสือ เตรียมพร้อมเรียน พรุ่งนี้กับคอร์ส OPEN WATER DIVER
หลังจากกินอิ่ม ของหนัก ก็เดินไปกินขนมต่อที่ร้าน Blue Wind เป็น Home Made Bakery สั่งเค็กช็อกโกแล็กมากิน เนื้อแน่นมาก รสหนักไปหน่อย เลยกินไม่หมด แต่รสชาดก็โอเคจ้า.. ลองไปกินดูแล้วกัน
จากนั้นก็เคร่งเครียดกันนิด อ่านหนังสือเตรียมพร้อมเรียน และทำแบบฝึกหัดที่ครูสั่ง แล้วออกเดินไปวัด ไปไหว้พระ ไปถึงวัดแล้ว ก็ไหว้แล้ว เป็นวัดเล็ก ๆ เดินไม่ไกลจากที่พัก ไม่กล้าถ่ายรูปมา เพราะเขากำลังมีงานศพ เลยเรียกแท็กซี่ ต่อไป โฉลกบ้านเก่า หาดตาโต๊ะ เขาคิดพวกเราคนละ 150 บาท สองคนรวมเป็น 300 บาท แต่ด้วยความน่ารัก และขี้อ้อน เลยลดเหลือคนละ 100 บาท แต่ไม่รับกลับนะ ส่งอย่างเดียว...

นั่งรถมาถึงที่หาดตาโต๊ะ มีรีสอร์ทสวยแห่งหนึ่ง ก็เลย แวะถ่ายรูปนิดอ่ะนะ โชว์หน่อยดีกว่า... ให้เห็นแล้ว น้ำลายไหล อยากไป...

หาดตาโต๊ะ เป็นหาดทรายขาวเนียน มีเส้นทางเดินไปสู่หาดเป็นแผ่นซีเมน ผาดไว้ตามก้อนหิน ทำเหมือนสะพาน มีรีสอร์ทที่พัก ซ่อนตัวอยู่หลายหลัง บรรยากาศเงียบสงบ สบายมาก ๆ

 ถ้าคนที่ชอบความสันโดษ ความสงบ แนะนำที่หาดนี้ เหมาะสำหรับหลบไปพักผ่อนแบบชิว ๆ มาก ๆ เลย และคนที่ชื่นชอบนก ก็มีนกน้ำให้ดูด้วย ยังแอบถ่ายมาได้เลย โชว์สักนิดแล้วกัน อิอิ....


นกสองตัวนี้ พบเห็นได้ในระหว่างทางเดินไปยังหาด น่ารักมาก ๆ เลยจ้า..... ใครรู้ว่าเป็นนกอะไร 
ช่วยคอมเมนต์มาบอกหน่อยนะค่ะ...

หลังจากพักผ่อน ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ก็เริ่ม หาของกินกันอีกแล้ว เราจึงเดินกลับมา เรื่อย ๆ จนถึง รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลมาก มีร้านอาหาร น่านั่ง ชื่อ New Heaven เราเรียกว่า สรวงสวรรค์ แล้วกัน ชื่อไทย ไม่อยากแปลตรงตัวมากนัก สั่งเครื่องดื่มมานั่งกิน ชมบรรยากาศ และทานอาหารเย็นกันต่อ

เครื่องดื่มอร่อยมาก อาหารก็อร่อย งานนี้ ไม่ขอบรรยายอีกต่อไป เพราะง่วงแล้วแหละ ดูภาพ แล้วแต่งเติมจินตนาการคุณกันเองแล้วกัน หมดวันแรกแล้ว เหนื่อยแล้ว คนเขียนขี้เกียจแล้วอ่ะ ไปดูภาพกันเลยดีกว่า.....


ขออภัย...ที่มิอาจ บรรยายได้มากไปกว่านี้ เพราะคนเขียนง่วงแล้ว......

พบกันกับบทความ Open Water Dive นะจ๊ะ บ๊าย...จ้า........

บทความเกาะเต่า และเกาะพงัน ปี2010