วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

พาพ่อเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เพชรบูรณ์

วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ว่าง ๆ แบบนี้ ไม่อยากให้คุณพ่อนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บ้าน เลยตื่นกันตั้งแต่ตี 4 ชวนขับรถไปเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์กัน ไปนอนเขาค้อกันสักหนึ่งคืน .....

เราขับรถยาวจากรังสิตเข้าสระบุรี เลี่ยงเมืองไปทางลพบุรี ผ่านอำเภอบึงสามพัน อำเภอศรีเทพ เห็นป้ายแหล่งท่องเที่ยวสีฟ้าเขียนว่า อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เลี้ยวขวาไปเพียง 7 กิโลเมตร ก็เลยตกลงแวะไปเที่ยวกันหน่อย เพราะช่วงเช้า ๆ แบบนี้ อากาศน่าจะดี ไม่ร้อนมาก จะได้พาคุณพ่อไปเดินออกกำลังกายเสียหน่อย ก่อนทานเช้า.... ตอนนี้ก็ 8 โมงกว่าแล้ว แวะสักแป๊บ แล้วค่อยออกไปหาข้าวทานคงดี...

ทางเข้าสองข้างทางเป็นทุ่งนา พื้นถนนขรุขระเป็นหลุมบ่อเล็กน้อย วิ่งไปสักพักตามป้าย ก็พบป้ายใหญ่ของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ทางขวามือ....ก็เลี้ยวเข้าไป เจอะยามหน้าประตู แนะนำว่าให้ไปจองรถที่จอดรถ และเดินเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านใน จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำประวัติอุทยาน และมีรถนำชมโบราณสถานที่ขุดพบ....

เวลาเปิดปิด 8.00 - 16.00 น. เปิดทุกวัน 
ค่าเข้าชม ก็แสนถูกมาก คนไทย 20 บาท ผู้สูงวัยเกิน 60 ปี ฟรี  ชาวต่างชาติ 100 บาท 
รวมค่าบริการ คือ วิทยากรนำชมอุทาน รถรางนำเที่ยวชมเมือง และสถานที่สำคัญ นิทรรศการของโบราณวัตถุ และเอกสารแผ่นพับ (สุดยอดคุ้มมาก ๆ )

งานนี้ เราพาพ่อมา 2 คน เสียไป 20 บาท มีวิทยากรแนะนำ และมีรถรางและวิทยากรบรรยายตลอดทาง....
(แล้วทางอุทยานจะคุ้มไหมเนีย)

ส่วนที่พาชมในปัจจุบัน มีไม่กี่จุด เพราะงบประมาณในการขุด และทำทางยังมีไม่เพียงพอ (ฟังจากเจ้าหน้าที่บรรยาย) 

ในส่วนนิทรรศการ มีโบราณวัตถุ ของแท้ ของจริง มาแสดงหลายจุด ล้วนเป็นศิลปะโบราณ เช่น ของใช้โบราณ พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ ธรรมจักร เป็นต้น

ส่วนของโบราณสถานที่ ต้องนั่งรถรางพาชม ก็มีส่วนของเมืองศรีเทพโบราณ ที่มีคูน้ำคันดินเป็นกำแพงล้อมรอบเมืองไว้ ปรางศ์ศรีเทพ ศาสนาถานในศาสนาฮินดู เป็นประสาทศูนย์กลางประธานของเมือง  ปราค์สองพี่น้อง  ส่วนของเขาคลังนอก เป็นต้น... 

ซึ่งรถรางจะพามาสองจุด และปล่อยให้เราเดินชมโบราณสถาน และถ่ายรูป ประมาณ 20-30 นาที หรือนั่งรถรางให้กลับมารับก็ได้ วันนี้อากาศดี แดดนิดหน่อย 

พาคุณพ่อค่อย ๆ เดินชม แต่ไม่เน้นปีนป่าย เดินรอบ ๆ เหนื่อยก็พัก นั่งถ่ายรูป ดื่มน้ำที่เอาติดมาด้วย เดินชมไม่นาน รถรางก็มารับค่ะ

เสี่ยดายที่เราเองไม่มีโอกาสเดินชมจนรอบ ไม่ได้ปีนป่าย สำรวจ เดินชมให้ทั่วบริเวณ เพราะพาคุณพ่อมาด้วยเอาแค่พอเหนื่อย ไว้เรามีโอกาสต้องมาสำรวจเองเสียแล้ว ....

ขอบคุณเจ้าหน้าที่ และวิทยากรที่นำเรากับคุณพ่อชมสถานที่นะค่ะ...

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ดูนกสวนรถไฟ จตุจักร

อีกไม่กี่วัน ก็จะหมดเดือนสิงหาคม 2556 นี้แล้ว ใกล้วันเวลาที่รอคอยไปอีกวัน ช่วงทองของนักดูนก ใกล้แล้วฤดูอพยบ วันนี้ลองมาเดินดูนกที่สวนรถไฟหน่อย เผื่อจะมีนกอพยบตัวไหนเดินทางว่องไวมาถึงก่อนเพื่อนบ้าง...

และแล้วก็ไม่ผิดหวัง เจ้านกอพยบ ตัวแรก (ที่เราพบ) ก็คือ เจ้าตะโพกเหลือง หรือ นกจับแมลงตะโพกเหลืองนั้นเอง พบทั้งตัวเมีย และตัวผู้ หากินอยู่ในแนว ๆ เดียวกัน อยากให้มันมาจับกิ่งเดียวกันจัง แต่ก็ไม่มีโอกาส ....

นกจับแมลงตะโพกเหลืองตัวผู้ เกาะไกลอ่ะ

นกจับแมลงตะโพกเหลือง ตัวเมีย

ถ่ายมาหลายรูป แต่ก็ไม่สวยสักรูปเลย ไว้โอกาสหน้าต้องไปใหม่แล้ว

วันนี้แวะมา แล้วก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ มีเวลา 1 ชั่วโมง ต้องกลับไปทำงานต่อ ไว้จะหาเวลาไปใหม่ 

ส่วนนกอื่น ๆ ที่พบระหว่างเดินดูนก 

เจ้าตัวเนี่ย เขาก็ว่า เป็นนกอพยบนะ นกกระจิ๊ดหัวมงกุฎ แต่ยังไม่ชัด ยังไม่ฟันธง

ตัววัยอ่อนของนกกระติ๊ดขี้หมู

เจ้านกปรอดหน้านวล ก้นเหลือง

เนี่ย เจ้ายางเขียว บินขึ้นไปเกาะต้นไม้สูงเชียว...

นกสีชมพูสวนที่ต้นมะม่วง

นกสีชมพูสวนวัยอ่อน หรือตัวเมีย ไม่แน่ใจ

ตัวเนีย...เจ้าถิ่น นกเอี้ยงสาลิกา.....

มีเวลาแค่เนี่ย ...ได้มานิดหน่อย มีความสุข เล็ก ๆ ในเที่ยงวันธรรมดา วันทำงาน ที่แอบพัก ไปดูนก....


วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทเรียนราคาแพงในการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่าย

อีกบทเรียนหนึ่งของชีวิต.... ที่ทำความผิดไปค่ะ 

ได้เอารูปจาก Facebook ของบุคคลท่านหนึ่งไปใช้ใน facebook ของบริษัท แล้วไม่ได้แจ้งก่อน เมื่อเจ้าของรูปมาเห็นเลยเกิดการฟ้องร้องขึ้น... ซึ่งเป็นความผิดจริง ที่เราทำ และขอรับผิดชอบอย่างเต็มที่ จึงได้มาเขียนบทความนี้ให้เป็นตัวอย่างไว้ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดความผิดพลาด หรือทำผิดอย่างเราอีก...

"ความผิด แบบไม่ตั้งใจ แต่มีเจตนาจะกระทำ .... ไม่ตั้งใจ เพราะคิดว่า เพื่อน ๆ กัน รูปง่าย ๆ ไม่สำคัญอะไรหนักหนา  เจตนา คือ เอาภาพเขามา และทำการตัดต่อดัดแปลงใช้ประโยชน์จริง"

ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า ... เราเป็นเพื่อน ของเพื่อนเจ้าของรูป พวกเขาไปเที่ยวกันมา และนำรูปมาลง เราเห็นว่าสวยดี เลยเอารูปมาตัดต่อใส่ชื่อบริษัทเข้าไปแล้วนำมาโพสต์ใน facebook บริษัท ซึ่งทางบริษัท ไม่ได้รู้เรื่อง แต่เราทำเอง กะว่า...เดี๋ยวค่อยติดต่อเขาไปคงไม่เป็นไร ก็เพื่อน ๆ กัน พอดีมีงานต้องออกต่างจังหวัด เลยคิดเอาเองว่า เดี๋ยวค่อยติดต่อก็ได้ ซึ่งก่อนเดินทางเราทำการโพสต์รูปที่ตั้งวันที่ไว้ ให้มันทำการโพสต์ขึ้น Facebook โดยอัตโนมัติ์ จนกระทั่งรูปขึ้นไปยัง facebook นานหลายวัน ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม ถึง 14 สิงหาคม และพี่เจ้าของภาพได้มาเห็นในตอนเย็นวันที่ 13 สิงหาคม จึงเขียนมาสอบถามไว้ที่หน้า facebook แต่ทางเราไม่มีใครอยู่ออฟฟิค ผ่านไปเกือบ 1 วัน (ประมาณ 16 ชั่วโมง) ก็มีเพื่อน ๆ พี่เขา มาเขียน comment ไปต่าง ๆ นา ๆ และต่อว่าบริษัท และให้แสดงความรับผิดชอบ จึงทำให้เกิดกระแส คนอื่น ๆ เขามาดู ก็ comment ว่าร้ายกันไปอย่างมากมาก

จนกระทั่งน้องคนหนึ่งที่บริษัทได้เปิดดู และทราบเรื่อง จึงโทรแจ้งเรา ซึ่งกำลังขับรถกลับกรุงเทพพอดี ซึ่งก็ตกใจมากว่า เรื่องราวใหญ่โต ส่งผลเสียหายกับบริษัท เราจึงรีบหาเบอร์ติดต่อเพื่อนรุ่นพี่คนที่เราเอาภาพมาจาก facebook เขา และเป็นเพื่อนกับเจ้าของรูป  ซึ่งสรุปว่า เป็นภาพของเพื่อนรุ่นพี่ 1 ภาพ และเพื่อนของรุ่นพี่ 1 ภาพ ซึ่งเราก็รีบโทรไปขอโทษ พร้อมชี้แจ้งรายละเอียด ว่าเราเป็นผู้กระทำการณ์นั้น ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดขึ้นมา

แต่พี่ ๆ เขาก็คิดว่าเป็นการแก้ตัว ไม่ยอมอภัย ต้องการสั่งสอนเรา โดยให้เราแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งเราก็พร้อมยอมรับผิด แสดงความเสียใจ และคำขอโทษ ยอมรับผิดทุกประการ ซึ่งพี่ ๆ เจ้าของรูปก็บอกว่าเขามีทนายพร้อมจะฟ้องร้องทันที ต้องให้บริษัทแสดงความรับผิดชอบด้วย

เราก็กล่าวคำ ขอโทษ ขอโทษ ไปหลายครั้งมาก กับความผิดครั้งนี้ และขอยอมรับผิดพร้อมจะแก้ไข เพื่อให้พี่ ๆ เขายอมอภัยในทุกทาง และขอคำแนะนำเขากลับไปว่า ...ทางพี่ ๆ ต้องการให้เราแสดงความรับผิดชอบอย่างไร เราพร้อมยอมรับผิดทุกอย่าง ซึ่งเป็นความผิดของเราคนเดียว (ส่วนบุคคล) ทางบริษัท ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น เพราะเราทำไปโดยไม่ทันคิด (กะไว้ ค่อยจะโทรแจ้งเพื่อนรุ่นพี่อีกที ดันปล่อยเวลาให้ผ่านไป เป็นความผิดจริง ๆ ) ทางพี่เจ้าของรูป จึงเสนอให้เราเขียนขอโทษ และอธิบายไว้ที่หน้าเวปเป็นเวลา 30 วัน และให้โอนเงินไปให้เขา 4000 บาท เป็นค่ารูปลิขสิทธิ์  เราจึงขอให้พี่เขาส่ง ไฟล์ภาพ ของจริงให้ด้วย เพราะรูปเอามาจาก facebook ก็ขนาดเล็ก และแตกมากด้วย เมื่อตกลงกันแล้ว เราก็เข้าไปบริษัท และแจ้งรายละเอียดความผิดที่เรากระทำขึ้น..

ทางบริษัท จึงมีนโยบายออกมาให้เรา รับผิดทางวินัย และจ่ายค่าเสียหายอันนี้เอง โดยทางบริษัทจะออกจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการ และลงคำแถลงการณ์ขอโทษอีกครั้งในเวป facebook ที่ทางเราเอารูปมาลง.... และได้แสดงความจริงใจในการขอโทษ โดยการส่งจดหมาย คำแถลงการณ์ที่จะลงไปให้พี่ ๆ เขาอ่านก่อน และสามารถแก้ไข ดัดแปลง ให้พอใจที่สุด ซึ่งพี่ เขาก็แก้ไข และลงรายละเอียดตามที่เขาพึงพอใจ ซึ่งทางเรา ก็ยอมรับถ้อยคำซึ่งอาจจะรุนแรงบ้างที่พี่เขาใช้ โดยมิได้ดัดแปลงแต่อย่างไร พร้อมยอมลงคำแถลงการณ์ที่หน้าแรกของเวปเป็นเวลา 20 วัน ( ตอนแรกพี่เขาจะเอา 30 วัน เราพยายามต่อรอง ขอ 10 -15 วัน เขาก็ไม่ยอม เขาบอกว่า เป็นการสั่งสอนให้รู้สำนึกบ้าง แต่ก็อยากบอกว่า สั่งสอนเราเถอะ บริษัทไม่เกี่ยวข้อง แค่นี้ทางบริษัท ก็เสียหาย เสียชื่อเพราะเราแล้ว แต่บริษัทก็ยอม....) 

วันที่ 14 ส.ค. วันนั้นเมื่อเราถึงออฟฟิค ก็รีบแจ้งหัวหน้าและจัดการ ติดต่อแจ้งพี่เขา พร้อมโอนเงินไปให้ทันที 3880 บาท โดยทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย 3 เปอร์เซ็นต์ เพราะบริษัทจะต้องออกเอกสารใบเสร็จให้  เมื่อโอนเงินไปเรียบร้อยแล้ว เราก็อีเมล์ไปแจ้ง รายละเอียดต่าง ๆ พร้อมกับแนบเอกสารใบโอน สักพัก พี่เจ้าของภาพก็โทรมา บอกว่า เขาคุยกับทนาย และเพื่อน ๆ แล้ว คิดตรงกันว่า จะไม่ให้ภาพต้นฉบับ เพราะราคาภาพต้นฉบับปกติขายได้ราคามากกว่านี้ พี่เขาแจ้งว่า เขาเป็นนักถ่ายภาพขายภาพได้ อีกทั้ง เป็นการสั่งสอนเราให้หลาบจำ เงินที่โอนมาถือว่าเป็น ค่าละเมิดลิขสิทธิ์ แทน ซึ่ง ถ้าเขาฟ้องร้อง เราจะต้องจ่ายมากกว่านี้ แน่ ๆ มูลค่าสูงเพียงพอจะซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวญี่ปุ่นได้เลย (ซึ่งถ้าเกิดกรณีแบบนี้ขึ้น เราไม่มีเงินจ่าย คงต้องติดคุด ดำเนินคดีแน่ๆ เราก็อ้อนว้อน พร้อมจะลาออก เพื่อให้บริษัทไม่ต้องเกี่ยวข้อง แต่พี่เขาก็บอกว่า ในกรณี ยังไง ถึงน้องลาออก พี่ก็ต้องฟ้องร้องกับบริษัท และน้องอยู่ดี  ถือว่า เหตุการณ์นี้ เป็นการสั่งสอนน้อง และบริษัทแล้วกันให้รู้ว่าไม่ควรทำแบบนี้ ... (ซึ่ง ก็อธิบายพี่เขาไปแล้วว่า เป็นการกระทำของเราเอง ส่วนบุคคล ทางบริษัทไม่ได้มีส่วนด้วย... แต่พี่เขาไม่รับฟัง)  เพื่อน ๆ พี่เขา ก็อยากให้เราลาออก จบจากอาชีพนี้เลย ไม่ควรให้อยู่ในเส้นทางนี้ ซึ่งเรารู้สึกเสียใจ ท้อใจจริง ๆ เพราะยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้ว...

เราพยายามขอโทษพี่เขาไปอีกหลายต่อหลาย ๆ ครั้ง และพยายามอธิบายให้พี่เขาเข้าใจและเห็นใจว่า เราทำเพราะความงี่เง่าของเราเอง ทางบริษัทไม่เกี่ยวข้อง แต่ทางบริษัทก็ยอมร่วมรับผิดชอบด้วยการทำจดหมายขอโทษและลงประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งที่ facebook...

ซึ่ง เราเอง ก็รู้สึกผิด และเรียนรู้บทเรียนราคาแพงในครั้งนี้แล้ว.... (เงินจำนวนนี้ เหมือนน้อยนิด สำหรับพี่ ๆ เขา (เขาพูดประมาณแบบนั้น) แต่พี่ ๆ รู้ไหมค่ะว่า มันเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาของคุณพ่อหนู  เฮ้อ...เศร้าอ่ะ...และวันนี้ 15 สิงหาคม เจ้านายใจดี ก็ให้เอาเงินบริษัทออกไป แต่เราคงยังมีความคิดทางวินัยอยู่ และต้องทำงานให้รอบครอบกว่านี้)

จากที่ได้พูดคุยกับพี่เจ้าของภาพ ก็ทำให้รับรู้ว่า ประสบการณ์ของพี่เขา เคยเจอะเหตุการณ์แบบนี้มาเยอะ ทำให้เขามอง เราและบริษัทในแง่ร้ายสุด ๆ ถึงแม้เราจะอธิบายหลายต่อหลายครั้งว่า เป็นความผิดพลาดของเราเอง บริษัท มิได้มีนโยบายให้ทางพนักงานทำเช่นนี้...แต่พี่และเพื่อน ๆ เขาไม่เชื่อ ซึ่งได้คอยจดจ้อง จับผิดกับภาพที่บริษัทเอามาลงใน facebook ไปเรื่อย ๆ (ไม่รู้ว่า เมื่อไรจะจบ ขอโทษ บริษัทจริง ๆ ที่เราทำให้เกิดความเสียหาย เสียชื่อขนานนี้ เราไม่รู้ว่า คนอื่น หรือบริษัทอื่น เขาจะยอม และพร้อมรับผิดอย่างเราไหม แต่เรายอม และพร้อมรับผิดทันที ที่ทราบเรื่อง ยอมทุกอย่าง อยากให้พี่เขาอภัย พยายามเข้าใจในความผิดที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากนโยบายบริษัทจริง ๆ ค่ะ) 

ซึ่งวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ในที่สุด พี่เขาก็ยอมเซ็นต์ใบยินยอมจบความเรื่องนี้ ดังนี้

1. บริษัทต้องชำระเงินค่าลิขสิทธิ์รูปภาพ รูปละ 2000 บาท จำนวน 2 รูป ให้กับทางเจ้าของภาพ ซึ่งได้ชำระเงินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วใน วันที่ 14 สิงหาคม 2556

2. บริษัท ต้องลงประกาศจดหมายสำหรับชี้แจ้งและขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่หน้าเพจ Facebook ของบริษัทเป็นเวลา 20 วัน ที่ด้านบนสุดของเพจ

3. ทั้งนี้เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเจรจากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการยอมความเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์รูปถ่ายทั้งสองรูป จึงยินยอมลงนามเพื่อยินยอมให้เหตุการณ์นี้จบและสิ้นสุด ณ วันที่ลงนาม
หากเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสมาอ่านอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือบางท่านอาจเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แต่สำหรับเราแล้วความรู้สึกผิดที่ติดตัวไปตลอดชีวิต อีกทั้ง ความเสียหาย เสียชื่อของบริษัท  ที่เกิดจากตัวของเรา ทั้งนี้ เราก็พร้อมยอมรับผิดทุกอย่าง แต่ไม่รู้จะพูดหรืออธิบายอย่างไรให้เพื่อน และพี่เจ้าของภาพเข้าใจ... เรามิได้มีเจตนาประสงค์ร้ายแต่อย่างไร แต่ความคิดน้อย ขาดความยั้งคิดของเรา จึงทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น....

เพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านบทความนี้ ก็ขอให้นำ เรื่องราวในบทความนี้ เป็นข้อคิดในการกระทำทุก ๆ อย่าง ที่เราไม่คาดคิด หรือเห็นว่าไม่สำคัญ อาจเป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญมาก ๆ ของคนอื่น หากการกระทำของเรากระทำไปแล้วส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตแบบนี้ ขอให้คิดให้รอบคอบ คิดให้ถูกทาง ถูกกฎหมายก่อนกระทำนะค่ะ....

ขอโทษพี่ ๆ เจ้าของภาพอีกครั้งค่ะ
สารภาพความในใจ....

คำถาม ทำไหมเอารูปพี่เขามาลงแล้วใส่ชื่อบริษัทตัวเอง โดยไม่ให้ลิขสิทธิ์พี่เขา
ตอบ... พอดีเราคิดว่าเราเป็นเพื่อนกับเพื่อนพี่เขา เห็นรูปที่เขาเอามาลง facebook สวยดี ก็เลย copy มา ตั้งใจจะแจ้งเพื่อนกับพี่เจ้าของรูปไป แต่มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง ว่าเดี๋ยวค่อยบอกก็ได้ ไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นเพื่อน ๆ กัน จนเรื่องมาผ่านมาหลายวัน และเกิดปัญหาขึ้น ขณะเราไม่อยู่กรุงเทพพอดี เรื่องราวจึงใหญ่โต เพราะไม่มีคนติดต่อพี่เขากลับไปหลังจากเขาเห็นจนครบวัน เขาก็เลยคิดว่า ทางเราไม่รับผิดชอบ และให้เพื่อน ๆ เขา เข้ามา comment ต่อว่าบริษัท ทำให้ปัญหาใหญ่ขึ้นค่ะ 
(ซึ่งก็ต้องขอโทษพี่ ๆ เขาอีกครั้ง เป็นความผิดส่วนบุคคลจริง ๆ ค่ะ ทางบริษัท ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นจริง ๆ ค่ะ)

คำถาม รู้สึกอย่างไร ที่พี่ให้เรารับผิดชอบแบบนี้
ตอบ สำหรับการโอนเงินจ่ายค่าภาพ และแสดงความรับผิดชอบโดยเขียนชี้แจ้ง และคำขอโทษลงเวป คือ ว่าเราผิดจริง ก็ยอมรับสภาพตามนี้ แต่อยากให้พี่เขาช่วยอธิบายให้เพื่อน ๆ เขาฟังด้วยว่า มันเป็นความผิดของเรา (ส่วนบุคคล) บริษัทไม่ได้เกียวข้องด้วยค่ะ และจริง ๆ แล้วอยากให้พี่เขาอภัยให้ด้วย เราไม่ได้คาดคิดจริง ๆ ว่า จะเป็นปัญหาใหญ่โตขนาดนั้น เห็นว่าเป็นภาพใน facebook แล้ว ก็เอามาลง facebook บริษัทเล่น ๆ เห็นภาพมันเหมาะกับโปรแกรมทัวน์นี้ พอดี เลยเอามาลงค่ะ ซึ่ง ก็รับทราบตามที่พี่บอกแล้วว่า ถือว่า เอาภาพมาใช้หาเงิน (แต่เราไม่ทันคิดเรื่องนี้จริง ๆ  ทั้งผิดทั้งโง่เลยค่ะ ขอโทษอีกครั้งค่ะ)

คำถาม แล้วเขียนบทความนี้ ไม่ลงชื่อตัวเอง ไม่ลงชื่อบริษัท ไม่ลงชื่อเจ้าของภาพ แล้วมันจะถูกหรือ
ตอบ... บทความนี้ เป็นการระบายความในใจของตัวเอง อีกทั้งให้ถือเป็นบทเรียนให้คนที่มาอ่านด้วยค่ะ ว่าอย่าคิดอะไรสั้น ๆ หรือทำแบบนี้ เพราะเรื่องมันจะไม่จบง่าย ๆ แบบนี้ก็ได้ค่ะ และเราก็มาเขียนบทความนี้ของเราเอง เราก็เลยไม่อยากให้มีการพาดพิงถึงใครทั้งสิ้นค่ะ

คำถาม รู้สึกโกรธ หรือไม่พอใจเพื่อน และพี่เจ้าของภาพไหม
ตอบ... ตอนแรกที่รู้จากน้องที่โทรแจ้ง ก็รู้สึกตกใจก่อนค่ะ ว่าเรื่องมันใหญ่โตขนาดนี้เลยหรอ ก็เลยติดต่อหาเบอร์โทรของเพื่อนเจ้าของ facebook ที่เราเอารูปมาค่ะ พอดีเปลี่ยนโทรศัพท์ เลยไม่มีเบอร์ พอได้เบอร์ก็รีบแจ้งเขาไปว่า เราเป็นคนเอารูปมาไปลงเองค่ะ และกะว่าจะติดต่อไปขออนุญาติก่อน แต่พอดียุ่ง ๆ ก็เลยกะว่าค่อยติดต่อไป คิดไปเองคนเดียวว่า ไม่มีปัญหา เดี๋ยวค่อยขอไปอีกทีก็ได้... ซึ่งตอนโทรเขาก็อยู่กับพี่เจ้าของภาพพอดี เราก็เลยขอคุยด้วยค่ะ และพยายามอธิบายให้พี่เขาฟังค่ะ แต่พี่เจ้าของภาพเขาถือว่า เราเอาภาพเขาไปใช้ในการค้า ซึ่งก็ไม่ลงเครดิตให้เขา และไม่แจ้งเขาก่อน ซึ่งเขาก็ไม่พอใจมาก ๆ พร้อมทั้งพูดจาข่มขู่เราเล็กน้อย ถึงเรื่องฟ้องร้อง และเรื่องทนายต่าง ๆ ซึ่งตอนฟังตอนแรก เราก็รู้สึกโกรธเหมือนกันค่ะ เพราะเราคิดเอาเองว่า ก็เพื่อน ๆ กัน และไม่ใช้เรื่องใหญ่ แต่พอฟังไป ก็รู้สึกเสียใจมากกว่าค่ะ ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ อีกทั้งก็ขอโทษเพื่อนเจ้าของ facebook ที่เราไปเอารูปมาด้วยค่ะ 

คำถาม บริษัทมีนโยบายในเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร
ตอบ... บริษัทก็ยอมรับผิดไปพร้อมกับเรา และยอมออกจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการ อีกทั้งจะลงประกาศขอโทษให้ที่หน้า facebook และคาดโทษทางวินัยสำหรับการกระทำของเรา และตัวเราเองก็พร้อมจ่ายค่าเสียหายเอง โดยให้บริษัทหักเงินไป และพร้อมจะลาออกเพื่อรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับประกาศแจ้งให้ทุกคนทราบว่า เป็นความผิดส่วนบุคคลทางบริษัทมิได้มีส่วนรู้เห็นด้วยค่ะ... ซึ่งทางบริษัท ก็ทักทวงใบลาออกของเราไว้ และให้เราเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ทุก ๆ อย่างด้วยตนเองค่ะ แต่เราก็ยังรู้สึกผิดอยู่ที่ทำให้บริษัทเสียชื่อค่ะ...

สำหรับเรื่องนี้ เราเอง คิดว่า มันง่าย ๆ ไม่ต้องซีเรียส เพื่อน ๆ กัน แต่ความเป็นจริง ในโลกนี้ ไม่มีอะไรง่าย ๆ ที่ไม่ต้องซีเรียส ความคิดที่ผิด ๆ ส่งผลให้เกิดความผิด ดังนั้น ต่อไปเราคงต้องอยู่ในโลกแห่งความจริง และไม่ประมาทกับชีวิตอีกแล้วค่ะ... 

อีกทั้งในโลกแห่งความเป็นจริง หากคนเรากระทำผิดเพียง 1 ครั้ง คนอื่น ๆ ก็พร้อมจะเหยียบย่ำ ซ้ำเติม และมองในแง่ร้ายไปตลอด เห็นได้จาก comment ที่ช่วยกันซ้ำเติมบริษัท และหาข้อผิดพลาดความผิดของเรา แม้กระทั่งให้เราลาออกแสดงความรับผิดชอบ เรื่องมันร้ายแรง และมันเป็นความผิดขนาดนั้นเชียวหรือ หากเราแคร์คนที่มีซ้ำเติม และอ่อนแอจนกระทั่ง ฆ่าตัวตาย เพราะความผิดครั้งนี้ พวกเขาเหล่านั้นจะมีความผิดบ้างไหม ที่กดดันกันขนาดนี้ คนเหล่านี้พร้อมจะประจานความผิดของคนอื่น และบอกต่อไปยังที่อื่น ๆ อีกมากมาย เท่าที่ พวกเขาจะพอใจ หรือสะใจ โดยมิได้รอรับฟังความจริงอีกเลย...  เพราะระหว่างที่พวกเขา comment กัน ต่อวันบริษัท ต่อว่าเรา เป็นช่วงที่เราเจรจากับเจ้าของภาพ และรอการตอบกลับ แต่พวกเราก็เร่งให้แสดงความรับผิดชอบ ทางบริษัท ก็ตอบกลับว่า อยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ แต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจ พยายามกล่าวหาบริษัท ต่อว่าบริษัท ให้เสียหาย สะใจ พวกเขาเป็นที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าเศร้าในสังคมไทย สังคมออนไลน์จริง ๆ ค่ะ...(เรื่องนี้ เรารู้สึกเสียใจมาก ๆ แต่ก็ขอบคุณสมาชิกหลาย ๆ ท่านของบริษัท ที่ผ่านมาเห็นข้อความเหล่านั้น แล้วเฝ้ารอความจริงจากคำแถลงของบริษัท โดยมิต่อความยาว สาวความยืดให้บริษัทต้องกระทบกระเทือน เสียหายมากกว่านี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ) 

ยังไงก็ขอให้เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะค่ะให้ผ่านพ้นบทเรียนราคาแพงในการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่ายครั้งนี้ไปให้ได้ และขอจดและจำไปชีวิตเลยค่ะ 


วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตระหนักคิดสักนิดว่าคุณทำอะไรอยู่..

เรื่องเล่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงจากครอบครัวหนึ่ง....แต่มิอาจเปิดเผยได้ หากไปตรงหรือคล้ายคลึงกับผู้ใด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้

หลังจากปี 2554 ที่มีน้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในบางเขตของกรุงเทพ ที่ได้รับผลกระทบนี้ หลังจากน้ำลด หลายครอบครัวที่ต้องสูญเสียเงินทอง แรงกาย แรงใจ ในการฟื้นฟูที่อยู่ การงาน และสุขภาพกลับคืนมา...ครอบครัวนี้ก็เช่นกัน...

ครอบครัวนี้ประกอบกันด้วย พ่อ ลูกชาย และลูกสาว ซึ่งปกติแล้วในบ้านที่น้ำท่วม พ่ออาศัยอยู่กับลูกสาวเท่านั้น ส่วนลูกชาย แต่งงานย้ายออกไปอยู่กับภรรยาแล้ว ระหว่างน้ำท่วม ลูกชาย (บ้านไม่ท่วม) ก็นับครั้งได้ที่เข้ามาช่วยเหลือ ปล่อยให้พ่อ และน้องสาว ต้องอาศัยอยู่ชั้นบนของบ้านที่ท่วม ตัวพ่อนั้น มีสุขภาพไม่แข็งแรง เป็นเบาหวาน และความดันมานาน ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เมื่อน้ำท่วมติดต่อกันนานกว่า 4 เดือน จึงไม่ได้ไปหาหมอ และไม่ได้ทานยาตามกำหนด ตัวน้องสาว ก็ตกงาน ออกมาค้าขาย และดูแลพ่อ ช่วงน้ำท่วมก็ไม่ได้ค้าขาย ต้องอาศัยเงินเก็บในการดำรงชีพ....โดยมิได้รับความช่วยเหลือใด ๆ จากพี่ชาย....

หลังจากน้ำท่วมผ่านพ้นไป...หน้าที่ฟื้นฟูซ่อมแซม ทำความสะอาดบ้าน น้องสาวก็เป็นคนทำทั้งหมด และทำเท่าที่ทำได้ จนถึงทุกวันนี้บางอย่างก็ปล่อยไว้ ไม่มีเงินพอจะซ่อมแซม... ส่วนตัวพ่อนั้น...หลังจากน้ำลด ก็มีอาการไม่มี มีการอ่อนเพลีย หมดสติ ซีด ลงทุกวัน .... น้องสาว จึงตัดสินใจพาพ่อไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเอกชน เพราะไปตรวจใช้สิทธิ 30 บาท ก็ได้ยา ความดัน ยาบำรุงเลือด ยาลดเบาหวานมาทานเหมือนเดิม โดยหมอมิได้ตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติมเลย...

ผลตรวจปรากฏว่า พ่อเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ต้องทำการฟอกเลือดด่วน .... เพราะมีโอกาสเสียชีวิตได้ภายใน 3 เดือน (หมอบอก...) ตัวน้องสาว ตกใจมาก ร้องไห้ และรีบโทรหาพี่ชาย พี่ชาย...ก็รีบให้พ่อเข้าโรงพยาบาล เพื่อตรวจเช็กให้แน่ใจ ผลปรากฏออกมาเหมือนกัน ...สรุปต้องฟอกไต...ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมากมาย....พี่ชาย...บอกน้องสาวว่าตนไม่มีเงินนะ เพราะค่าใช้จ่ายของตนและครอบครัวตนก็มากเกินแล้ว อีกทั้งยังต้องทำบ้านใหม่อีก....

น้องสาว...จึงปรึกษากับพ่อ และเข้ารับการทำหลอดเลือดเทียม และฟอกไตในเวลาต่อมา โดยใช้เงินเก็บทั้งของพ่อ และน้องสายช่วยกัน ผ่านพ้นมาจนเข้าปี 2556 นี้ พ่อและน้องสาวก็พยายามประหยัด และหาเงินมาเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่าย ส่วนตัวพื่ชาย ก็บอกแต่ว่า ไม่มี ไม่มี และบางครั้ง ก็ยังมาขอเงินจากน้องสาวไปใช้อีก น้องสาว พยายามตัดพี่ชาย ออกจากครอบครัว แต่ก็ด้วยความใจอ่อน ก็ต้องยอมทุกครั้ง จนถึงวันหนึ่ง...พี่ชาย ก็มาขอเงินจากน้องสาวอีก และบอกว่าจะคืนให้เหมือนทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้...น้องสาวถามพี่ชายว่า...ต้องมีก่อนถึงให้หรอ หรือต้องรอให้พ่อตายก่อนถึงสำนึก... เงินที่ยืมไป หรือเอาไปแล้วไม่คืน เป็นค่าใช้จ่ายในการฟอกไตของพ่อ...ยิ่งยืมไป ยิ่งเอาไป ชีวิตพ่อจะลดลงไปอีก ซึ่งวันหนึ่งหากเงินเก็บหมดแล้ว ไม่สามารถพาพ่อไปฟอกได้ ก็คงต้องปล่อยให้พ่อตายนะ...

บ้าน เมีย ความสะดวก สบาย ของพี่ชาย มาก่อนใช้ไหม ชีวิตพ่อ มาที่หลัง การใช้เงินของพี่ชาย ทำไหมถึง ให้ชีวิตพ่อเป็นสุดท้าย ... หากพี่มีเงินเดือน 10000 บาท แบ่งให้พ่อก่อนได้ไหม 100 บาท ก็ยังได้ แต่ทำไหม แบ่งให้ตนเอง ให้เมีย ให้บ้านก่อน จนแม้กระทั่ง เพียง 1 บาท ยังไม่สามารถแบ่งให้พ่อได้...

พี่รู้ไหม ... ทุกวันนี้ ไม่เพียงพ่อจะผิดหวังกับพี่ชาย น้องสาวคนนี้ ก็ผิดหวังเหลือเกิน และเหนื่อยมากด้วย ที่บ้านเรา...พี่ชาย รู้ไหม...เรารอวันนี้เงินเก็บหมด พ่อ กับน้องสาวคนนี้ ก็คงต้องขายบ้าน (ตามที่พี่ชายอยากให้ขายเอาเงินมาแบ่งกันมาก) ทั้ง ๆ พี่ชายก็รู้ พ่อรักบ้านนี้มากขนาดไหน พ่อทำงานหนักเพียงไหนเพื่อให้เรามีบ้านอยู่...

พี่รู้ไหม...พี่ชาย... ทำไหม กิจการเงินของพี่มันถึงไม่คล่องตัว เพราะพี่แบ่งความสำคัญของชีวิตผิดหรือเปล่า...พี่ชาย...รู้ไหมว่า... ความกตัญญูคือ สิ่งที่จะทำให้พี่ประสบความสำเร็จได้นะค่ะ....

พี่รู้ไหมค่ะว่า...พ่อและน้องสาว เฝ้ารอพี่กลับมาเป็นพี่ที่ดี เป็นลูกที่ดี จนแทบหมดความหวังแล้วค่ะ...

ชีวิตของพ่อ ชีวิตของน้องสาว ก็มีแต่นับวันหมดลง ...แล้วพี่ชายคิดว่า...จะเป็นคนสูบชีวิตเหล่านี้ หรือจะเป็นคนต่อชีวิตเหล่านี้ ดีค่ะพี่ชาย....

เรื่องนี้...เป็นเรื่องจริงค่ะ...และครอบครัวนี้ก็ยังใช้ชีวิตเช่นนี้อยู่ ผู้เขียนได้แต่เฝ้ามองและเป็นกำลังใจให้คนพ่อ น้องสาว และพี่ชายคนนั้น ให้รู้สึกตัว เปิดตามองครอบครัวที่มาของตนบาง .....

ผู้เขียน...ได้รับการเล่าเรื่องนี้จากน้องสาว เพื่อระบายความรู้สึกภายในใจบ้างค่ะ... น้องสาว...ผู้ที่เคยน่ารักสดใส จิตใจอ่อนโยน คนที่ผู้เขียนรู้จัก เดียวนี้ เธอคนนั้น หน้าตาแก่ ไร้ความสดใส ร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน แต่ก็พยายามประคองตนเองไปเรื่อย ๆ  ผู้เขียนขอให้เรื่องนี้ หากผู้อ่านได้อ่าน แล้วตระหนักคิดสักนิด อย่าให้ได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับครอบครัวไหนอีกเลยค่ะ...

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วันอกเงินแห่งชาติ "National silver-breasted day" ณ แก่งกระจาน

วันอกเงินแห่งชาติ "National silver-breasted day" ณ แก่งกระจาน

วันเดย์ทริปกับนกพญาปากกว้างอกสีเงิน ณ แก่งกระจาน การไปดูนกที่แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ครั้งที่สอง ในวันนี้ นกพญาปากกว้าง หลายชนิด กำลังสร้างรัง เลี้ยงลูกกัน โดยเฉพาะ นกพญาปากกว้างอกสีเงิน (Silver-breasted Broadbill) จับคู่ ทำรังกัน หลายต่อหลายรัง ตั้งแต่ปากทางเข้า อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยาวไปถึง ลำธาร 3

การไปดูนกครั้งนี้ พวกเราขับรถไปจอดที่ลำธาร 1 และเดินจากลำธาร 1 ไปถึงลำธาร 3 ระหว่างทางได้เจอะนกพญาปากกว้างสีดำ Dusky Broadbill ตาแป๋วน่ารัก และได้เห็นรังเจ้า นกพญาปากกว้างอกสีเงิน อีกหลายรัง และบินไป บินมา เกาะกิ่งโน้นกิ่งนี้ คาบใบไม้ ใยแมงมุม มาทำรังกันอย่างจอแจ ....

ซึ่งพบได้บ่อยมาตลอดทางเดิน พบแล้วพบอีก หลายรัง หลายตัว จนต้องให้ชื่อทริปในครั้งนี้ว่า "วันอกเงินแห่งชาติ "National silver-breasted day" เพราะเป็นนกที่พบบ่อยมาตลอดทั้งทริป อีกทั้ง ความน่ารัก น่าชัง ที่ทำให้ต้องยกกล้องถ่าย แล้ว ถ่ายอีก เพียง 1 วัน กลับถ่ายจาก Memory Card เต็ม ซึ่งปกติต้องใช้เวลาในการถ่าย 2 -3 วัน ถึงเต็ม แต่วันนั้นวันเดียว มีภาพเจ้าอกเงิน มากมายหลายท่า กว่าร้อยรูป จนทำให้การ์ดเต็มจนได้ ไม่เชื่อ ก็มาลองดูความน่ารักกันซิค่ะ... 

เชิญชมได้เลยจ้า....

ยืนพักชมวิว...กับเจ้านกพญาปากกว้างอกสีเงิน

ลงเล่นน้ำ แล้วแอบแต่งตัว เป็นเจ้านกขี้อาย ไปกับเจ้าอกเงิน

เกาะพัก ชื่นชม รังที่ทำเอง อย่างภูมิใจ ของเจ้านกพญาปากกว้างอกสีเงิน 

เจ้าตัวน้อย อกสีเงิน คาบใบไม้มาทำรัง แต่เกาะพักดีวี่แววนิดนึง....

มีอะไรอยู่ในปาก ก็ไม่รู้ กับเจ้าพญาปากกว้างอกสีเงิน
หันมองดู ก่อนจะโผเข้ารัง...

ชะแง้มอง...เตรียมบินเข้ารัง....

เป็นไงค่ะ น่ารักมากมายขนาดนี้ แวะไปเยี่ยมเจ้าตัวน้อย นกพญาปากกว้างอกสีเงิน กันได้ที่ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ได้นะค่ะ...

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เรื่องดี ๆ ที่ให้ข้อคิดดี ๆ ตอน เลือกรักให้ถูก


เรื่องดี ๆ ที่ให้ข้อคิดดี ๆ วันนี้ตอน "เลือกรักให้ถูก..."

มีพ่อค้าผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง มีภรรยา 4 คน

ภรรยาคนที่ 1 เป็นภรรยาที่มีความภักดี (loyal) ซื่อสัตย์ ครองรักกับเขาแบบร่วมหัวจมท้ายมาโดยตลอด คอยดูแลกิจการน้อยใหญ่ หนักเอาเบาสู้ เป็นคนที่รักสามีอย่างสุดซึ้ง ยากที่จะหาใครมาเทียบได้ แต่พ่อค้าคนนี้กลับมองข้ามความรักที่เธอมีให้ต่อเขามาโดยตลอด

ภรรยาคนที่ 2 เป็นคนที่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Considerate) อดทนเสมอต้นเสมอปลาย เป็น "เพื่อนที่รู้ใจ" ของพ่อค้าคนนี้มากที่สุดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะประสบปัญหาเรื่องใด ๆ เขาก็จะกลับมาหาภรรยาคนที่สองเสมอ เพราะเธอนี้แหละที่สามารถช่วยให้เขาออกมาจากวังวนของความทุกข์ได้

ภรรยาคนที่ 3 เป็นคนที่พ่อค้าภูมิใจ (Proud) ในความงามของเธอ จึง "รักมาก" เวลาออกงานหรือต้องพบปะผู้คน เขาก็จะพาภรรยาคนนี้ไปด้วยทุกครั้ง แต่กลับไม่เคยไว้วางใจเธอเลย เพราะกลัวว่าเธอจะหนีตามชายอื่นไป เนื่องจากความงามอันเป็นที่หมายปองของเธอ

ภรรยาคนที่ 4 เป็นคนที่พ่อค้าคนนี้ "รักมากที่สุด" ของมีค่าใด ๆ ก็จะต้องหามาบำรุงบำเรอเธอ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแพง ๆ สวย ๆ เรียกว่าเขาดูแลเธออย่าง "ริ้นไม่ได้ไต่ ไรไม่ให้ตอม" เลยทีเดียว อะไรที่ดีที่สุด ก็จะมอบให้เธอคนนี้คนเดียว

แต่ทว่า วันหนึ่ง พ่อค้าได้เจ็บป่วย และใกล้จะจากไป จึงได้เรียก ภรรยาทั้งสี่คนเข้ามา และถามเธอแต่ละคนว่า..."ที่รักฉนกำลังจะจากเธอไป ฉันรักเธอมาก เธอคิดว่าเธอจะตายไปอยู่กับฉันไหม"

ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า "ไม่มีทาง ฉันไม่มีทางไปอยู่กับคุณหรอก" คำตอบของเธอเหมือนสายฟ้าฟาดลงไปในหัวใจเขา

ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า "ไม่ฉันไม่ไป ตอนนี้ฉันสุขสบายดีอยู่แล้ว ถ้าคุณตายไป ฉันคงจะแต่งงานใหม่" คำตอบของเธอทำให้พ่อค้ารู้สึกน้อยใจ

ภรรยาคนที่ 2 ตอบว่า "ฉันรักคุณ แต่ฉันคงทำได้แค่ส่งคุณที่หลุมฝังศพเท่านั้น" พ่อค้าก็ได้แต่นอนมองอย่างเศร้า ๆ 

แล้วเขาก็หันไปถามภรรยาคนสุดท้าย คือ ...ภรรยาคนที่ 1 ด้วยคำถามเดิม

ภรรยาคนที่ 1 ตอบว่า "ฉันจะตามคุณไป ไม่ว่าคุณจะไปไหน ฉันจะอยู่กับคุณตลอดไป"

พ่อค้าจึงหันไปมองภรรยาคนที่ 1 เขารู้สึกเสียใจที่ไม่เคยเหลียวแลเธอเลย ร่างกายของเธอจึงซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เขาากล่าวลาครั้งสุดท้ายว่า "ที่รัก ฉันผิดไปแล้วที่ไม่เคยเห็ฯคุณค่าและดูแลเธอเลย" และเขาก็ขาดใจตายไปในทันที

คุณรู้ไหมค่ะว่า ภรรยาทั้ง 4 คนนี้ ผู้ประพันธ์เปรียบเทียบไว้กับอะไรบ้าง

ภรรยาคนที่ 4 ที่เรารักมากที่สุด ก็คือ "ร่างกาย" (body) ที่เราพยายามบำรุงบำเรอให้ดีที่สุด สุดท้ายก็ต้องตายจากเราไป

ภรรยาคนที่ 3 ที่เรารักรองลงมา ก็คือ "ทรัพย์สมบัติ สถานภาพทางสังคม และความร่ำรวย" (Possessions status and wealth) เมื่อเราตายไปก็ต้องตกไปเป็นของคนอื่น

ภรรยาคนที่ 2 ที่เป็นเพื่อนรู้ใจก็คือ "ครอบครัว เพื่อน" (Family and friends) ผู้ที่อยู่เคียงข้างเราตอนที่เรามีชีวิตเท่านั้น

ภรรยาคนที่ 1 นั้น คือ "จิตวิญญาณ" (Soul) จิตวิญญาณแห่งความดีงามที่เรามองข้าม แต่กลับหลงไหลไปในการแสวงหาลาภสักการะ และความพึงพอใจในโลกียะเท่านั้น...

เป็นไงค่ะ ผู้ประพันธ์เขาแต่งไว้ดีที่เดียว อย่าหลงลืม ให้ความรักกับภรรยาคนแรกของคุณนะค่ะ...ขอให้ทุกท่านมีความสุขมาก ๆ ค่ะ


-->

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เรื่องดี ๆ ที่ให้ข้อคิดดี ๆ :เหยือกเต็มหรือยัง


เช้าวันหนึ่ง ตื่นมาเปิดเมล์ และได้รับข้อความจากคุณลุง ส่งเรื่องดี ๆ ที่ให้ข้อคิดดี ๆ มาให้อ่าน เมื่อเราอ่านแล้ว รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ดีมากเลย เลยขอคัดลอกบทความนี้มาฝากเพื่อน ๆ และขอให้เพื่อน ๆ ส่งต่อไปเพื่อส่งความคิดดี ๆ กระจายต่อไปเป็นสิ่งดี ๆ ความรู้สึกดี ๆ ให้มีแต่ความดีเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่อย่างต่อเนื่องนะค่ะ....

เหยือกเต็มหรือยัง ?

          ชายหนุ่มผู้เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญา ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาเดินเข้าห้องเรียนมา พร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม

       ' พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือ ยัง ?' เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท
แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่น คิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน
' เต็มแล้ว... '

         เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหัน ไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับ เขย่าเหยือกเบาๆ
กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก “ เหยือกเต็มหรือยัง ?'

นักศึกษามองดูอยู่พัก หนึ่งก่อนจะหันมาตอบ ' เต็มแล้ว... '

         เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไป ตามช่องว่างระหว่างกรวด กับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก ครั้ง “ เหยือกเต็มหรือยัง ?'

         เพื่อป้องกันการหน้าแตก นักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน
         หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจน เวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น

       “ คราวนี้เต็มแน่นอนครับ อาจารย์ ' “ แน่ใจนะ ' “ แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ '

คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะ แล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทราย ลงไปจนหมด ทั้ง ชั้นเรียนหัวเราะฮือฮา กันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ ไหนพวก คุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง ' เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น

“ ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียน วันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคน เรา

ลูกเทนนิสเปรียบเหมือน เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก พ่อแม่และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้
เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญ รองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์

ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

         เหยือกนี้เปรียบกับชีวิต ของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน '

         ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า

         เพราะฉะนั้นในแต่ละวัน ของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต พาพ่อแม่ไปเที่ยวพักผ่อนหรือทานข้าว โทรศัพท์หาเพื่อนบ้างให้รู้ว่าเรายังคิดถึงและเป็นห่วง เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจ กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่ รอบๆ ตัวเรา นักศึกษาคนหนึ่งยกมือ ขึ้นถาม “ แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไป ล่ะครับ หมายถึงอะไร ?'

         เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า “ การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยาก ให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวาย สับสนเพียงใดในความสับสนและวุ่นวาย เหล่านั้นคุณยังมีที่ว่าง สำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ...

ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ กับข้อคิดดี ๆ ที่ผู้แต่งเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาให้ค่ะ
ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ช่วยกันอ่าน และแบ่งปัน เรื่องราวดี ๆ กับข้อคิดดี ๆ เหล่านั้นต่อไป
ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ร้อนนี้ ร้อนนัก อาณาจักรหัวขวานล่มสลาย...

หน้าร้อนปีนี้ (2556) เป็นปีที่อากาศร้อนมากที่สุดในรอบทศวรรษ อากาศที่แปรปรวน และอุณหภูมิที่สูงขึ้น อย่างผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ชนิด ไม่พ้นแม้แต่มนุษย์ และสัตว์ ....

ห้วยขาแข้ง...เป็นผืนป่ามรดกโลก ที่นักอนุรักษ์พยายามปกปักษ์รักษาไว้สำหรับมนุษย์และสัตว์นานาพันธู์ แต่ด้วยความเห็นแก่ตัว และเห็นแก่ได้ของมนุษย์เรา (บางคน) ในการตัดไม้ทำลายป่า สร้างมลภาวะ มลพิษให้กับโลก ทำให้เราต้องสูญเสียต้นไม้ และสัตว์ป่าไปจนเสียสมดุลแห่งธรรมชาติ....

อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นผิดปกติ และยาวนานขึ้น ก็เป็นอีกผลหนึ่งที่แสดงถึงการขาดสมดุลของโลกเรา...

ในฐานะของ นักดูนก คนหนึ่ง ที่เห็นถึงความผิดปกตินี้ การลดจำนวนลงของ นกหัวขวาน ที่ อาณาจักรนกหัวขวาน แห่ง อุทยานห้วยขาแข้ง... ในปีนี้ ทำให้รู้สึก สะท้อนใจ และสลดใจมาก อยากให้เรา คนไทย ได้ตระหนักถึง ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม การห่วงแหน ป่าไม้ ลำธาร ต้นน้ำ สัตว์ป่า และวัฒนธรรมของชาติ...

แหะ ๆ เขียน ๆ ไป ก็เหมือนบ่นนะค่ะ... แต่เพื่อน ๆ รู้ไหมค่ะว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ของคนบางคน หรือคนนั้นก็อาจเป็นเราแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความมักง่ายในการทิ้งขยะ การใข้กระดาษแบบไม่ประหยัด การสนับสนุนการเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทั้งสิ้นค่ะ ... น้ำท่วม ไฟไหม้ ฝนตก ลูกเห็บตก แผ่นดินไหว... ล้วนแล้วแต่ ฝีมือพวกเรา ที่ไปทำลายระบบนิเวศน์ค่ะ....

อาณาจักร์นกหัวขวาน ... ณ ห้วยข้าแข้ง... เป็นแหล่งดูนก ที่พวกเราชาวนักดูนก หรือถ่ายภาพนก รู้จักกันมานาน เมื่อได้ไปเยือนเมื่อไร ต้องมีภาพ นกหัวขวาน นานาชนิด ให้ได้ชม ได้ถ่ายภาพกับมาอย่างแน่นอน แต่มีปีนี้ 2556 ปริมาณ หรือจำนวน นกหัวขวาน ที่อาณาจักร นกหัวขวาน แถม ไม่พบ หรือ พบได้น้อยมาก ทั้งจำนวนชนิด และปริมาณที่พบ เป็นเรื่องที่น่าเศร้า... และอยากบอกต่อ เพื่อให้ ช่วยกัน ตระหนักถึง ผลกระทบต่าง ๆ ที่เรากระทำต่อโลก...นี้ค่ะ...

อำลา... และอาลัย ต่อ อาณาจักรหัวขวาน...ที่ล่มสลายไป และหวังว่า เราจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟู ผืนป่า และอาณาจักรนกหัวขวานแห่ง ห้วยขาแข้ง แห่งนี้ค่ะ...

นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง Orange-backed Woodpecker

ก่อนลากันไปหลังจากเรื่องหนักใจ... ก็มีชมนกหัวขวาน ที่ยังพอมีเหลือกันบ้างนะค่ะ

นกหัวขวานเขียวสะโพกแตง Black-headed Woodpecker
นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง ตัวเมีย
มีให้ชื่นชม เพียงสองสามภาพ เล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะ อาณาจักรหัวขวานล่มสลาย..แล้ว เหลือเพียงไม่กี่ชนิดค่ะ...

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

One Day ลั๊นล่า ที่เกาะล้าน

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2556 ได้มีโอกาสเดินทางไปเยือน เกาะล้าน พัทยา จ.ชลบุรี ......

ออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่ตี 5 เพื่อจะไปถึงท่าเรือ  ไปเกาะล้าน ที่พัทยาใต้ เที่ยวแรกของวันคือ 7.00 น. ราคาตั๋วเรือ 30 บาท ลงที่หาดตาแหวน และหาดหน้าบ้าน ส่วน เรือเร็วชนิดราคาตั๋วไปกลับแบบ 150 บาท ลงที่หาดหน้าบ้านอย่างเดียวจ้า เวลาการเดินเรือ ถ้าราคา 30 บาท ก็มีเที่ยวแรก 7.00 โมงเช้า แล้วรอไปอีก 10.00 โมงเช้า แต่อีกบริษัท ราคาตั๋ว 30 บาท เหมือนกันลงที่ หากตาแหวน ทีเที่ยว 8.00 โมงเช้า   แล้วก็ 9.00 โมงเช้า และช่วงบ่าย เรือออกทุกครึ่งชั่วโมง ส่วนเรือกลับจากหาดที่หาดหน้าบ้าน เที่ยวสุดท้าย 18.00 น. ส่วนเที่ยวสุดท้ายที่หาดตาแหวน 17.00 น. จ๊ะ....
หรืออยากจะไปเรือด่วน เรือเร็ว คิดต่อคนต่อเที่ยว ๆ ละ 200 บาทค่ะ หรือจะเหมาลำ ก็ประมาณ 2000 บาทค่ะ...แต่เป็นแบบเรือเล็ก นั่งได้ประมาณ 10-15 คนค่ะ

ที่ฝากรถเดี๋ยวนี้ปรับราคาเป็นดังนี้ ฝากชั่วคราวจาก 40 บาท เป็น 60 บาท ส่วนฝากรถค้างคืนวันละ 140 บาท จาก 100 บาทค่ะ...
วิว...ณ ท่าเรือ มองจากในเรือโดยสารไปเกาะล้าน
เรือโดยสารที่นั่งข้ามเกาะ ราคาตั๋ว 30 บาท ลงที่ท่าหาดตาแหวน
ถ้านั่งราคาตั๋ว 150 บาท จะเป็นเรือใหญ่ มีห้องแอร์ และลงที่ท่าเรือหน้าบ้าน
พวกเราเดินทางมาถึงยังท่าเรือไปเกาะล้านที่พัทยาใต้ ก็เป็นเวลา 7.30 น. ซึ่งไม่ทันเรือเที่ยวแรก แต่มีเรือเที่ยวต่อไปออกอีกเวลา 8.00 น. จึงตัดสินใจใช้บริการเรือ 30 บาท ทันที เพราะเรือ 150 บาท ออกเวลา 10.00 น. เมื่อลงเรือโดยสารราคา 30 บาท แล้วใช้ระยะเวลาในการเดินเรือประมาณ 45 นาที มาลงที่เกาะล้าน หาดตาแหวน ซึ่ง เป็นหาดที่มีร้านอาหารให้บริการมากมาย และมีกิจกรรมทางน้ำ ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นเจ็กสกี บันนาน่าโบ๊ท เรือลากโดดร่ม ว่ายน้ำ ดำน้ำ เป็นต้น แต่พวกเราก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเป้าหมายจะไปยัง หาดแสม ซึ่งเป็นหาดสำหรับเล่นน้ำ และพักผ่อน 

จึงเดินมาต่อรถโดยสารประจำทาง จากหาดตาแหวน มาลงที่หาดแสม ราคา 40 บาท ใช้เวลานั่งรถเพียง 10 นาที ก็มาถึง บรรยากาศของหาดในตอนเช้า มีนักท่องเที่ยวเล่นน้ำมากมาย อากาศกำลังดี ฟ้าใส แสงสวยมาก ๆ เลยค่ะ
มีเจ็กสกีให้เช่าขับเล่นด้วย น่าสนุกมาก ๆ
บรรยากาศของหาดแสม มองลงมากจากจุดชมวิว...
ทางขึ้นไปจุดชมวิว...

บรรยากาศยามเช้า ที่หาดแสม เกาะล้าน ... บริการให้เช่าเก้าอี้ชาดหาดเพียง 20 บาทเท่านั้น
บรรยากาศ ความสนุก ลั๊นล่า ที่เกาะ ล้าน ก็ดูจากภาพประกอบนะจ๊ะ One Day Trip ที่เกาะล้าน ก็ได้ประมาณเนี่ย....
 ใครสนใจไปเที่ยวเกาะล้าน แบบส่วนตัว หรือไปแบบหมู่คณะ เรามีบ้านพักสำหรับ 4 - 10 ท่าน แบบติดชาดหาดในราคาพิเศษ ไม่แพงแน่นอน ติดต่อสอบถามมาได้ที่อีเมล์ routeitasia@gmail.com ค่ะ
เราสองคนไปแวะชมบ้านพัก และใช้บริการมาแล้ว กว้างขว้างสบาย ๆ มีเตาปิ้งย่างให้ทำอาหารได้ด้วย เป็นบ้านเดี่ยว นอนได้หลายคน เครื่องเรือนพร้อมให้ใช้บริการเลยค่ะ แถมติดหาด บรรยากาศยามเย็นดี สุด ๆ อิอิ....^^

แบกเป้ ลงเรือ เดินฝ่าแดด ไปลั๊ลล่า ณ เกาะล้าน
ให้แดดเผา ผิวดำ หน้าแดง แก้มอมยิ้ม...
ส่งความสุข วันหยุด ได้เติมเต็ม ...
เพื่อน ๆ คนไหนเห็น ภาพนี้ กด Like ที.. ^^ หุหุ....www.facebook.com/friutenzyme เป็นของบ้านรักษ์สุขภาพ ที่สามารถแนะนำช่วยเหลือเรื่องสุขภาพได้จ้า....

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

หัดเรียนวาดสีน้ำครั้งแรก

ประสบการณ์การหัดเรียนวาดสีน้ำครั้งแรก

บอกตรง ๆ เลยนะค่ะว่า ไม่เคยวาดรูป ไม่คิดเป็นศิลปิน ไม่มีหัว ไม่ได้ชอบสีสัน หรือมองความงามเป็น เป็นเพียงคนที่ชอบถ่ายรูป ชอบสัตว์ รักนก รักธรรมชาติ รักสุนัข เท่านั้น

เห็นใครวาดรูปเจ้าสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ นก วิว สุนัข เป็นต้อง ชื่นชม และอิจฉา อยากวาดเป็นบ้างทุกครั้ง คงพูดบ่นไปบ่อย ๆ ใน Facebook จน พี่ ที่วาดรูปสีน้ำท่านหนึ่ง ต้องเอ่ย...ปากชักชวนให้ไปลองวาดดูสักครั้งดีไหม...

แหะ ๆ ไปค่ะ.. ตอบไปก่อน แล้วก่อนไป 1 วัน ก็โทรไปคุยกับพี่เขาว่า พี่ต้องเอาอะไรไปบ้าง วาดไม่เป็นเลยนะค่ะ พี่เขาก็แสนจะใจดี ให้ยืม ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไปแต่ตัวกับหัวใจแล้วกัน  ...นัดแนะกันเรียบร้อย วันอาทิตย์ก็ขับรถไปที่ ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน จอดรถหน้าตึกกล้วยไม้ แล้วเดินเข้าไป เห็นกลุ่มคน กลุ่มหนึ่ง อยู่ในห้องกระจก กำลังตั้งอกตั้งใจทำอะไรกันอยู่

เราก็ชะเง้อมอง หาพี่ ที่นัดไว้ ไม่กล้าเข้าไป จนพี่เขาเห็น เรา ก็ยิ้มกว้าง ออกมาเรียกเราเข้าไป และแนะนำให้เรารู้จักพี่ ๆ ที่กลุ่ม โห...ชื่ออะไรกันบ้าง จำได้ไหม่หมดเลยค่ะ พี่ ๆ ก็ใจดี ต้อนรับขับสู้อย่างดี ครูก็น่ารัก ใจดี หาที่ให้นั่ง และพี่ ก็ให้เราเลือกว่าอยากวาดอะไร .... ตอนแรกคิดว่า วาดดอกบัวแล้วกัน คงง่ายที่สุด... แต่ใจมันยังไม่ค่อยโอเค เพราะเราก็ไม่ได้ชอบดอกไม้อะไรเป็นพิเศษ อืม... คิดไป คิดมา ขอลองวาด ที่ชอบแล้วกัน นกค่ะ.... อยากวาดนก....

เอานกอะไรดีล่ะ เปิดหาใน Facebook นกที่เคยไปถ่าย เอาตัวง่าย ๆ สีน้อย ๆ ถ้าจะดี คิด ๆ ก็ได้เจ้ากะเต็น นาม "ปักหลัก" เปิดมาดู ปุ๊บ ชอบ ปั๊บ ตัดสินใจเลยค่ะ จะวาดกะเต็น...

พี่ ๆ และครู เตรียมอุปกรณ์ให้ทั้งหมด และมาดูภาพที่เราเลือก โอเค... งั้น เริ่มต้นที่ ร่างโครงสร้างภาพนกนะ.... ครูบอกแค่เนี่ย แล้วปล่อยให้เราทำ....
เออ.... นิ่งไปสักแป๊บ .... พี่ ยืม ดินสอ และยางลบ หน่อยค่ะ "ทำได้ไหม..." ลองวาดดูนะ ไม่ต้องลงลายละเอียด   ค่ะ...ตอบไป

เริ่มต้น ก็ซ่าเลยค่ะ เลือกนกสองตัวแน่ะ ....วาดไปได้ 1 ตัว รู้สึกว่า สัดส่วนนก มันอ้วน ๆ ไม่สมส่วนยังงั้นไม่รู้ แหะ.... ถ้าจะอ้วนเหมือนคนวาดอ่ะ....

ครูเดินมาดู แล้วแนะนำว่า .... เห็นไหม นก (ตัวซ้ายมือ) ตัวมันเอียงไปทางขวาเล็กน้อย แต่ที่เราวาด มันเอียงซ้ายนะ เราต้องตั้งแกนสมมาตรที่ตัวนกก่อน อาจารย์เขียนแกนแนวตั้งให้ แล้ว ขีดเส้นท้องให้ ปรับเพียงนิดเดียว นกเราสวย สมส่วน ซะงั้น ...^'""^ หุ หุ

ลงมือวาดต่อตัวที่สอง  อืม... ชักจะได้แนว เขียนแกนสมมาตรก่อน แล้วเริ่มวาด ก็ออกมา โอเค แหะ ... (คนมันเก่ง ...อิอิ..แอบภูมิใจตัวเอง) เลยหยิบกล้องมาบันทึกภาพไว้หน่อย
เห็นป่ะ....สวยไหมอ่ะ... คนอะไร วาดได้อ่ะ.. เก่งด้วย... ขอเน้นว่า ครั้งแรกจริง ๆ จ้า.....

หลังจากวาดภาพ โครงร่างของนก เรียบร้อยแล้ว ก็ยกมือ เรียกครู มาดู ....
โอเค ใช่ได้แหละ.... ครูบอก เอาสี น้ำเงิน เหลือง ฟ้า ขึ้นมา... เราก็งง.. นกเราสีดำ ขาว เอาสีพวกนี้ ขึ้นมาทำไหมอ่ะ..เลือกสีหยิบออกมา .... บีบสีใส่จานซิ ...ครูบอก ... เราก็ทำแบบงง OO ???  งง....

ครูมาถึง ก็เลือกพู่กัน แบบกลม ปลายแหลม มา ผสมสีเหลืองกับน้ำ และผสมสีฟ้ากับน้ำ เสร็จแล้ว ก็เริ่มต้นวาด บอกให้เราวาดเงาก่อน พยายามดูจุดที่เข้ม และเป็นเงา แล้วระบายไล่เฉกสีออกมา.... เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะนกมันสีดำอ่ะ ทำไหม เอา เหลือง กับฟ้า ลง .....

พี่ ๆ ก็มาอธิบายว่า  การวาดสีน้ำ เราต้องใช้จินตนาการ ไม่จำเป็นต้องสีเหมือนจริง ซึ่งในแต่ละสี มันจะมีสีที่ซ่อนอยู่ อย่าง สีดำ ในสีดำ ก็มีสีอื่น ๆ เราจะไม่ใช้สีดำ เพราะมันจะทึบ แบน เราต้องการ แสง เงา และความลึก ของภาพ จึงต้องใช้เฉดสีอ่อนลงก่อน แล้วไล่เฉดสีเข้มขึ้นไป... แล้วก็ให้เราลองลงสีเงาดู ไปเรื่อย ๆ  

อาจารย์ทำให้ดู 1 ตัว เหลืออีก 1 ตัวให้เราทำ ... เราก็ทำตาม แบบ ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ....แต่ทำไปก่อน...
มันก็ออกมาแบน ๆ แปลก ๆ ไม่เห็นเหมือนนกเลย .....

พี่คนเดิม ก็มาดู แล้วช่วยแต่ง เติม ตานก และปีก ให้สวยขึ้น ดังตาเห็นเลยค่ะ....
ตอนแรก ดูยังไม่เป็นนก พอครู และพี่ ๆ มาตบ แต่งให้ ก็สวยออกมาได้แบบนี้เลยค่ะ เลยมีเวลา ชักกล้องมาถ่ายอีก 1 ภาพ ..... (ประทับใจอ่ะ เป็นนกได้ไงเนี่ย...)

หลังจากนั้น ครูก็บอกว่า เอาล่ะ ใช่ได้แหละ มาทำฉากหลังกันดีกว่า ซึ่งคุณจะได้ใช้สีละเลง ได้อย่างสนุกสนาน... เอาแปรงทาน้ำให้ทั่วพื้นหลังเลยนะ.... แล้วก็ทำให้ดู ... เราก็ทำตาม จนเสร็จ แล้วก็เดินไปบอกพี่เขา พี่เขา ก็ถามว่า ฉากหลังจะเอาสีอะไร แบบไหน เราก็ตอบว่า อะไรก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเหมือนแบบก็ได้พี่ พี่เขาเลยเลือก สีชมพู เหลือง ฟ้า น้ำตาล ออกมา แล้วสอนวิธีการลงฉากหลัง...

เราต้องดูทิศของแสงที่ตกกระทบนกก่อน แล้วเงาอยู่ตรงไหน บริเวณนั้นต้องเข้ม แล้วไล่เฉดสีเอา 
บริเวณที่แสงมา ก็เอาโทนสีเหลือง บริเวณที่แสงตกกระทบ สีฟ้า สีเขียว บริเวณที่เป็นเงาสีก็เข้มขึ้น ส่วนของกิ่งไม้ ก็ลงสีน้ำตาล เป็นลาย ๆ ไม่ต้องทาให้หมดทั้งกิ่ง เพราะ มันต้องมีส่วนสว่าง ส่วนมืด....

เสร็จแล้ว ก็ให้ครูดู ครูบอกว่า ตรงกิ่งให้ทาสีน้ำตาลอีกนิด เพราะมันดูลอย ๆ ไป 
เมื่อวาดเสร็จ ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วจ้า..... มาได้แบบเนี่ยค่ะ สำหรับภาพวาดสีน้ำครั้งแรกในชีวิต...

อยากลองสัมผัสประสบการณ์นี้ได้ รวมกลุ่มกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ลองติดต่อมาที่ พี่ ๆ www.facebook.com/routeitasia คุยเรื่องให้อาจารย์ไปสอนได้นะค่ะ

หลังจากไปเรียนรู้ และได้ทดลองประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า.....
1. หากเราจะวาดรูปอะไร หรือทำอะไร ถ้าเป็นสิ่งที่รัก และชอบแล้ว ต่อให้ไม่ดีที่สุด แต่ก็มีความสุข และน่ารักที่สุด....จะเห็นได้ว่าภาพนี่ ไม่ได้สวยอะไร ไม่ได้พิเศษ หรือใช้เทคนิคที่ดี แต่สำหรับคนวาด มันน่ารัก... น่าประทับใจ และชอบมากที่สุดค่ะ....
2. มีมุมมองของบางเรื่องที่เปลี่ยนไป เช่น ในความเป็นสีดำ มันอาจมิใช่สีดำเพียงอย่างเดียวที่เราเห็น ในนำ อาจมีทั้ง สีเหลือง สีฟ้า สีเขียว สีน้ำตาล ซ่อนอยู่ ไม่จำเป็นต้องเป็นสีดำเสมอไป.... ทำให้เรามองอะไรได้ลึก และชัดเจนมากขึ้น
3. มุมมองของแสงและเงา การมีเงา ความมืด มันส่งผลให้ ความสว่าง หรือ แสงเด่นชัด และ ความสว่าง หรือแสง กลับทำให้ ความมืด และเงานั้น ชัดเจนเช่นกัน ...


วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

สงกรานต์ปี 2556 -สรงน้ำพระ ณ วัดพระแก้ว กรุงเทพ

สงกรานต์ปี 2556 ปีนี้ไม่ได้เดินทางไปต่างจังหวัด ต้องอยู่กรุงเทพ เฝ้าบ้าน อยากไปขับรถเล่นรอบกรุงเทพ ช่วงสงกรานต์ คิดว่า รถคงไม่ติด คนไม่น่าจะเยอะ แต่ปรากฏกว่า สงกรานต์ปี 2556 นี้ คนอยู่กรุงเทพกันเยอะมาก ไปไหนมาไหน รถเยอะแยะ แต่ริมทาง คนเล่นน้ำกลับไม่มากมาย อย่างที่คิด มีบ้านเป็นกลุ่ม ๆ บ้างสถานที่ เช่น สยาม ถนนข้าวสาร อื่น ๆ เป็นต้น

วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดี อยากออกไปไหว้พระ สรงน้ำที่วัดพระแก้วเสียหน่อย หวังว่า คนคงไม่เยอะ การเดินทางวันนี้ กะว่าจะไม่เอารถไป แต่จะเดินทางโดย BTS ต่อเรือ และเดินไปวัด ดูบรรยากาศเมือง ๆ เสียหน่อย

เราเริ่มต้นกันที่ BTS จตุจักร โห...วันนี้คนก็เยอะเหมือนเดิม ผู้สูงวัยอายุเกิน 60 ปี มานั่งรถเล่น เพราะ BTS  เขาเปิดให้โดยสารฟรี เพียงแสดงบัตรประชาชน ....

นั่ง BTS จากจตุจักร มาลงสยาม ต่อ BTS สายสีสม สวนพลู ลงที่สถานี ตากสินมหาราช แล้วออกทางออกไปท่าเรือสาทร  ไปส่งที่ท่าเรือ มหาราช....
 
ถึงที่ท่าเรือแล้ว คนก็ไม่เยอะมากนัก แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก็ใช้เส้นทางนี้ในการเดินทางท่องเที่ยว วัดพระแก้ว เช่นกัน เราได้เลือกขึ้น เรือเร็วเจ้าพระยา ค่าบริการ 40 บาทต่อคน ซึ่งบนเรือจะมีบริการให้ข้อมูล และไกด้แนะนำเส้นทางการท่องเที่ยวในแต่ละจุดด้วย บรรยากาศขณะล่องเรือวันนั้น ก็ครึ้ม ๆ แดดไม่แรง เรือโดยสารวิ่งกันมากมาย สวนไปสวนมาก สิ่งปลูกสร้างริมฝั่งสองแม่น้ำ ก็มีทั้งวัดวา อาราม โบสถ์ และสถานที่สำคัญ ๆ ของไทย เช่น ฐานทัพเรือ อู่ต่อเรือ เป็นต้น
ภาพน้องไกด์สุดหล่อ ที่ให้บริการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ในเรือด่วนเจ้าพระยา 2 ภาษา ทั้งไทย และอังกฤษ ซึ่งเรือด่วน ค่าบริการ 40 บาท แต่เรือธรรมดา 30 บาท คิดว่า คุ้ม ได้รับความรู้ และสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

 นอกจากเรือหางยาว เรือด่วนเจ้าพระยา เรือแบบไทย ๆ เรือของโรงแรมต่าง ๆ ก็วิ่งให้บริการกันอย่างคึกคัก.....สวย ๆ มีเอกลักษณ์ของไทย ๆ ทำให้นักท่องเที่ยว ถ่ายรูปเก็บไปเป็นที่ระลึก.... ช่างน่าภูมิใจจริง ๆ ...
สถานที่สำคัญริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และการจราจรในน้ำที่หน่าแน่น ในช่วงสงกรานต์ ....


ในที่สุดเราก็นั่งเรือด่วนเจ้าพระยา มาถึง ที่วัดพระแก้วแล้วค่ะ ริมฝั่งเห็นวัดพระแก้วค่ะ ไกด้แจ้ง แล้วบอกให้ลงที่ท่า มหาราชค่ะ

พอลงจากเรือ เข้าสู่ท่ามหาราช ก็เดินออกไปเลี้ยวซ้าย ตามทางออกไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นรั้วของวัดพระแก้วแล้วค่ะ เดินมาเรื่อย ๆ ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำสงกรานต์ค่ะ แต่บรรยากาศร้านรวง ก็ยังคึกคักนะค่ะ
ร้าน 7 Eleven ร้านนี้ ก็ยังให้กลิ่นอายบรรยากาศแบบไทย ๆ 
หน้าร้านเล็ก ๆ แต่สวยดีนะค่ะ
ถึงแล้วค่ะ ฝั่งตรงข้าม เป็นวัดพระแก้ว .... วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก ทั้งชาวไทย ชาวจีน ชาวต่างชาติ ต่างมาเยี่ยมชมวัดพระแก้วมาทำบุญ สรงน้ำพระ ที่วัด ทางเข้าวัดพระแก้ว หนาแน่นไปด้วยฝูงชนค่ะ

เมื่อเบียดเสียด เข้าไปได้ภายในวัด ก็ยังพบกับฝูงชนที่มาเที่ยว วัดพระแก้ว กันอีกมากมายค่ะ 
ภาพวัดพระแก้ว ที่นำมาแปลงภาพเป็นภาพวาดสีน้ำ วัดพระแก้ว ...........

ภาพวัดพระแก้ว มุมเดียวกัน .... ก่อนโดยไล่ออกจากสนามหญ้า เพราะเขาไม่ให้เหยียบหญ้าค่ะ....แหะ ๆ 

ฝูงชน นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ต่างรอคิว เข้าวัดพระแก้ว เพื่อชื่นชมความงาม ทำบุญ และสรงน้ำพระ





พระพุทธรูป ปางต่าง ๆ ที่ถูกอัญเชิญ มาสรงน้ำ ณ วัดพระแก้ว ........ค่ะ