รู้เมื่อสาย เบาหวานทำลายไต.....
เรื่องเล่านี้เป็นประสบการณ์จริงของครอบครัวฉัน อยากเล่าไว้เพื่อให้เป็นเครื่องเตือนใจ หรือจุดประเด็นความสงสัยสักนิดเพื่อคนที่คุณรักจะได้อยู่กับคุณไปนาน ๆ
เมื่อครั้งคุณพ่ออายุประมาณ 38 ปี ตรวจพบว่าเป็นเบาหวานครั้งแรก ด้วยการที่คุณพ่อเป็นเภสัชกร จึงทานยาในการรักษาตนเอง ยาที่คุณหมอให้คุณพ่อรู้ดี และทานเอง ลูก ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง จนฉันเรียนจบ เข้าทำงาน ต้องไปทำงานต่างจังหวัด กลับมาเดือนละครั้ง คุณพ่อเริ่มมีอาการเดินเอียง ๆ ความรู้สึกช้า ขึ้นลงรถหัวก็ชนขอบประตู พอถาม ก็บอกว่า ตามองไม่ค่อยชัด ฉันก็บอกว่าให้ไปให้หมอซิ .... คุยกันเรื่องนี้ทีไร ก็จะจบลงที่ฉันบอกให้ไปหาหมอซิ
จนกระทั่งคุณพ่อเริ่มมีอาการบวมตามขา และแขน มากขึ้น เบื่ออาหาร ตามองไม่เห็น ตาพร่า สู้แสงไม่ได้ ฉันจึงลาหยุดงาน พาคุณพ่อไปตรวจเบาหวานขึ้นสูงถึง 200 ค่าความดัน 240/120 ทำให้คุณหมอตกใจมาก และให้เข้าโรงพยาบาลด่วน นอนโรงพยาบาลไปเพื่อปรับความดันให้ลง 2 คืน แล้วกลับบ้าน ความดันก็ลงมาได้เหลือ 160/90 และไปตรวจตา ด้วยสิทธิบัตรทอง ได้ทำการเลเซอร์ต้อกระจกทั้งสองข้าง แต่ก็การมองเห็นไม่ชัด มองจึงให้ผ่าเปลี่ยนกระจกตา 1 ข้าง ผ่าไปครั้งแรกเนื่องจากเบาหวานขึ้นตา กระจกตาที่ใช้จึงไม่เข้ากัน ต้องสั่งทำกระจกตาพิเศษ ผ่าตัดไปก็มองไม่เห็นเหมือนเดิม โรงพยาบาลส่งต่อไปโรงพยาบาลวัดไร่ขิงต่อ ปรากฏว่าวุ้นประสาทตาเสื่อม ต้องผ่าตัดอีกครั้ง หลังผ่าตัดมา 2 ปี ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ตาคุณพ่อมองไม่เห็นไป 1 ข้าง เพื่อรักษาอีกข้าง ที่บ้านจึงพยายามควบคุมเบาหวาน ซื้อเครื่องตรวจเบาหวานมาตรวจทุกอาทิตย์ หลังจากนั้นผ่านมาอีก 2 ปี ความไว้วางใจว่าคุมเบาหวานอยู่ คุณพ่อก็เริ่มทานอาหารตามแบบที่ชอบ ตามใจตัวเองมากขึ้น จนกระทั่ง...
ในงานเลี้ยงอาหาร คุณพ่อเป็นหน้ามืด ล้มลงไป วัดความดันต่ำมาก น้ำตาลก็ต่ำ ทำให้มีการบำรุงคุณพ่อด้วยอาหารต่าง ๆ และตามใจกันมาก หลังจากนั้นคุณพ่อก็ลาออกจากงานมาพักที่บ้าน และไปตรวจเบาหวาน และความดันด้วยบัตรทองตลอดทุก ๆ เดือน จนผ่านไป 1 ปี เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพ ที่บ้านโดนน้ำท่วมติดน้ำอยู่นานกว่า 2 เดือน ขาดการดูแล และยากิน หลังจากนั้นอีก 2 เดือน คุณพ่อก็มีอาการหน้ามืด น้ำตาลต่ำ แต่ความดันสูง อยู่ตลอดทุกครั้งที่มีการตรวจ และมีอาการเหนื่อยง่าย นอนหลับช่วงกลางวันบ่อย ๆ ไม่ยากอาหาร ชวนไปทานอาหารก็ไม่ค่อยทาน เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ หงุดหงิดง่าย ขี้ใจน้อย คุยกันพูดกัน ก็ทะเลาะกันบ่อย ๆ และมีอาการบวมทีเท้า เวลาไปตรวจด้วยสิทธิ์บัตรทอง ก็ให้บอกหมอ แต่คำตอบกลับมา คุณพ่อบอกว่า หมอบอกว่าเป็นอาการข้างเคียงของยาความดัน ไม่เป็นไรหรอก...
ด้วยความหวังดี เราก็เลยพาคุณพ่อไปต่างจังหวัดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ปรากฏว่า คุณพ่อเหนื่อยง่าย ไม่มีแรง ทานอาหารไม่ลง เบลอ ๆ งง ๆ นั่งรถไปก็หลับแบบเหมือนสลบ เราก็ดูแล้วว่าอาการไม่ดีเลย เลยคิดว่าจะพาไปตรวจสุขภาพ หลังจากกลับจากต่างจังหวัดมา 1 อาทิตย์เลยพาคุณพ่อไปตรวจสุขภาพสำหรับเบาหวานที่โรงพยาบาลเมโย ปรากฏว่า ค่าของเสียในเลือดสูงถึง 120 และพบไข่ขาวในปัสสาวะ คุณหมออายุเวชก็ให้ไปพบคุณหมอโรคไต คุณหมอโรคไต บอกว่าคุณพ่อเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ต้องทำการฟอกเลือดด่วน ไม่งั้นไม่เกิน 1 เดือน จะเสียชีวิต ณ เวลานั้น คุณพ่อ และเรา ต่างก็ช็อกไป หาเสียงตัวเองแทบไม่เจอะ จนคุณพ่อเอ่ยขึ้นมาว่า ... ขอกลับบ้านไปตัดสินใจก่อน แล้วเราก็พาคุณพ่อกลับบ้าน และพาไปตรวจซ้ำกับที่โรงพยาบาลนนท์เวช ก็ได้ผลเหมือนกัน และทำการสแกนไต ก็พบว่าบางส่วนถูกทำลายแล้ว หมอที่นนทเวชก็อยากให้ทำการฟอกเลือดทันทีเหมือนกัน
แต่ทางคุณพ่อขอเวลาตัดสินใจ และขอปรึกษากับทางโภชนากรก่อนว่าระหว่างนี้ต้องทำอย่างไร....
หลังจากนั้นเรากับคุณพ่อก็กลับมาบ้าน ค้นคว้าเรื่อง ไตวายเรื้อรัง ก็พบว่า มีข้อมูลมากมาย ที่บ่งบอกว่า เบาหวาน และความดัน เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ไตเสื่อม และควรมีการตรวจการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 6 เดือน หลังจากเป็นเบาหวานนานกว่า 10 ปี และข้อมูลต่าง ๆ อีกมากมาย ที่ทำให้เราอยากจะพูดว่า "รู้เมื่อสาย...."
ทำไหม หมอที่ดูแลคุณพ่อเรื่องเบาหวาน ไม่เคยใส่ใจ หรือเตือนให้เราหรือคุณพ่อระมัดระวังเรื่องไตเลย หรือทำไหม เราไม่เคยจะใส่ใจหรือสนใจเรื่องไตเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เป็นเบาหวานแล้วจะตามมาด้วยโรคไต....
บทความนี้ อาจเป็นเหมือนการบ่น การระบาย แต่อยากให้เพื่อน ๆ หรือคนที่อ่าน ได้ฉุกคิด และใส่ใจ ก่อนจะรู้เมื่อสายไปเหมือนของเรากับคุณพ่อ...
จงจำไว้ว่า เมื่อคุณหรือคนที่รักเป็นเบาหวาน นอกจากตรวจเบาหวานแล้วให้ตรวจ ความดัน ถ้ามีแนวโน้มความดันสูงด้วย ให้ตรวจปัสสาวะ ดูค่าโปรตีน หรือดูว่าปัสสาวะขุ่นหรือเปล่า และทำการตรวจติดตามการทำงานของไตทุก ๆ ปี และหากวันใด เบาหวานขึ้นตา หรือมีค่าเบาหวานลงลด ระดับเบาหวานแกว่ง เดียวสูง เดียวต่ำ ให้เริ่มกังวนและใส่ใจได้แล้วว่า ไตมีการทำงานที่ผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์แล้วตรวจสอบการทำงานของไตด่วน หากคุณรู้ก่อนว่า มีภาวะไตเสื่อมเรื้อรังแล้ว ในระยะแรก ๆ คุณสามารถดูแลผู้ป่วยและตัวคุณเองด้วย โภชนาการบำบัด เพื่อชะลอและช่วยไตไม่ให้ต้องถูกทำลายเร็วได้ แต่สำหรับคุณพ่อ เป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายแล้ว...คำตอบเดียวของหมอแผนปัจจุบันคือ ต้องฟอกไต...เท่านั้น
แล้วแพทย์ทางเลือกละ การแพทย์แบบองค์รวมละ การใช้ธรรมชาติบำบัดละ....สำหรับโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย...ช่วยไม่ให้ฟอกไตได้ไหม... เป็นคำถามที่เราจะต้องหาคำตอบต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น