วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

วีรกรรมคนกล้าแต่ไม่ฉลาดที่ออบขาน


อุทยานแห่งชาติออบขาน ตั้งอยู่ห่างจาก อ.เมืองเชียงใหม่ ประมาณ 30 กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นยอดเขาสูง อากาศโดยทั่วไปค่อนข้างร้อน และเย็นในฤดูหนาว สถานที่ท่องเที่ยว ออบขาน ออบไฮ ผาตูม ถ้ำตั๊กแตน และถ้ำห้วยหก

การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปหางดง ถึงสี่แยกพบป้ายไป อ.สะเมิง เลี้ยงขวาไป ถึงสี่แยกคลองชล เลี้ยวซ้ายพบป้ายทางไปอุทยาน (นี่คือข้อมูลการเดินทางไป ขอบอกดัง ๆ นะ "ใช้ไม่ได้เลย ไปอยากกว่านี้ตั้งเยอะ เราไปลงที่ หางดง หารถประจำทางไปต่อไม่ได้ ต้องเหมารถไป ต่อรองราคาตั้งนาน แล้วทางเข้าไปนะ วกวนจะตาย เราว่าถ้าใครไม่รู้จักคนท้องถิ่นนะ ให้เอารถไปเอง แล้วขับไปถามไป หรือโทรไปที่อุทยานเบอร์ 0861811068 ให้เขามารอที่ หน้าอำเภอหางดงดีกว่านะ"

หลังจากเดินทางเข้ามาถึงออบขานแล้ว เข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ขอกางเต้นท์ ราคาก็เหมือน ๆ กัน คือ 30 บาท หลังจากนั้นก็เดินไปที่จุดกางเต็นท์ หามุมเหมาะ ๆ วันที่พวกเรามา มีนักท่องเที่ยวไปเยอะมาก ส่วนมากก็ขับรถมาทั้งนั้น มีแต่พวกเราที่จ้างรถมา (ออ...ลืมบอกไป ต้องนัดรถเขามารับด้วย เพราะอาจไม่มีรถออกไป เพราะนักท่องเที่่ยวที่นี้ ไม่นิยมค้างแรม แค่มาแวะเที่ยว แล้วก็กลับ อาจทำให้วันที่พวกเราเดินทางกลับไม่มีรถก็ได้ พี่เจ้าหน้าที่บอกไว้อย่างนั้น"

พวกเราเดินหาทำเลกางเต้นท์ ตามหลักการที่เคยกล่าวไว้ในบทที่ผ่านมา (กลับไปหาอ่านได้นะ) เมื่อพิจารณาดูแล้วได้มุมที่เหมาะสมก็กางเต้นท์ทันที เมื่อเสร็จก็เริ่มมองหาของกิน เดินไปที่ร้านสวัสดิการสั่งอาหารกล่อง และแวะเอาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่แรกตามรูป เป็นแม่ขาน เดินเที่ยวไปตามทางในคู่มือ แวะถ่ายรูป เพลิดเพลินกับธรรมชาติ และก็ถึงออบขาน เดินต่อไปยังจุดชมวิว ในที่สุดก็พิชิตยอดเขาได้อีกหนึ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีที่ใครสูงเกินกว่าเข่า"


หลังจากเที่ยวไป ถ่ายรูปไปจนเหนื่อย เดินกลับมาตามทางน้ำที่ไหลเชียว ช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาวนี้ น้ำที่ออบขานยังเยอะ และค่อนข้างสีขุ่น สักพักได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงว่า "ช่วยด้วย ช่วยด้วย คนตกน้ำ" พวกเราหันไปดูในลำน้ำ มีคนอยู่ เขาผุดขึ้นและจมลงไป พวกเราหันซ้าย หันขวา เห็นคนเริ่มวิ่งมาดูกัน แต่ก็ไม่มีใครลงไปช่วย เจ้าดำ (จำได้ไหม หนึ่งในแกงค์ตะลอนเที่ยวไง) มันวิ่งลงไปในน้ำ พอลงไปน้ำเชี่ยวมาก มันพยายามจะเดินลงไปเอามือไว้จับ แต่มันคงพึ่งนึกได้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น มันเองกลับขึ้นมา คนตกน้ำลอยไปตามกระแสน้ำ ผ่านหน้าเราไป และเริ่มจมหายไป เราตกใจมาก เลยวิ่งกระโจนลงไปในน้ำ ขณะดำลงไป น้ำมันขุ่นมาก มองไม่เห็น แต่สักพักเราก็ขว้างเสื้อได้ และดึงเข้าหาตัว ดันคนตกน้ำให้ขึ้นจากน้ำ เขาก็เลยเข้ามากอดเรา ตัวเขาใหญ่กว่าเรามาก เราเริ่มหายใจไม่ออก มือเขาจับที่ไหล่เรา อีกมือกอดที่คอ เราพยายามดึงมือที่คอเราออก เขาก็ยิ่งเกาะกอดเแน่น เราไม่รู้ว่านานเท่าไร แต่เราก็ยังพยายามที่จะดันเขาออกไป และผลักเข้าไปริมฝั่ง แต่ตัวเราก็จมลงเรื่อย ๆ ไปสามารถขึ้นไปหายใจได้ ช่วงเวลานั้น มีมือ 2 มือมาดึงแขนเราไว้ ดึงเขาขึ้นมาจากในน้ำ เราโผล่มาขึ้นมาหายใจ และเริ่มมองเห็น พบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2 คน ลงมาช่วย อีกคนเข้าดึงคนตกน้ำขึ้นไปแล้ว และอีกคนก็ผลักเข้ามาจนถึงฝั่ง เมื่อขึ้นมาถึงฝั่งได้ น้องสองคนที่มาด้วยกันก็เข้ามาช่วยประคอง และถามเราว่าเป็นไรไหม เราไม่ได้ตอบไป เพราะเหนื่อยมากเลย ก็เลยสั่งให้เจ้าดำไปก่อกองไฟ มันเริ่มจะหนาว ขอผิงไฟหน่อย พอตั้งสติได้สักนิด ก็เหลือบไปเห็นเจ้าดำมันนั่งแกะโทรศัพท์อยู่ ตอนมันโดดลงน้ำไป มันลืมเอาโทรศัพท์ออก เออ. เราเลยนึกขึ้นได้ว่า แว่นตาเราก็หายไปกับสายน้ำ กรรม มองอะไรก็ไม่ชัด เมื่อเข้าไปอาบน้ำเสร็จแล้ว สักพักคนที่ตกน้ำและครอบครัวก็เดินมาขอบคุณเรา ยกย่องเรา และต่อว่าคนอื่นว่าไม่มีใครช่วย แต่เราไม่เห็นดีใจ ในใจเราคิดว่า "เราไม่ได้ช่วยอะไรเขานะ เพราะช่วยแล้วไม่สำเร็จอ่ะ แถมทรัพทย์สินเสียหายอีก ทั้งแว่นตา โทรศัพท์ เออ...."

คืนนั้น พวกเราคุยกันถึงเหตุการณ์นี้ เหมือนเรื่องตลก แต่มันไม่ตลกเลย เพราะจริง ๆ แล้วเรายังโชคดีที่รอดมาได้ การจะช่วยคนตกน้ำ ต้องคิดพิจารณาให้ดีก่อน เช่น มีไม้ยาว ๆ แถวนั้นอยู่ไหม มีเชือกหรือเปล่า หรือพิจารณาดูก่อนว่าตัวเรามีกำลังแค่ไหน และทำได้แค่ไหน หากเหตุการณ์นี้ไม่มี นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2 คนนั้น เราจะมีชีวิตอยู่วันนี้หรือไม่ เหตุการณ์นั้นจะเป็น เหตุการณ์อันหน้าเศร้าหรือไม่ . อยากให้ทุกคนที่อ่านเรื่องนี้แล้วพิจารณาให้ดีนะ วีรกรรมคนกล้า แต่ ไม่ฉลาด อย่างเรา ควรหรือไม่ที่จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ไม่มีความคิดเห็น: