แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เชียงใหม่ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เชียงใหม่ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไป ลันล่า ... กันที่เชียงดาว

ไปลันล่า...กันที่เชียงดาว ...ทริปนี้ ถูกกำหนดขึ้นก่อนวันเดินทาง 28 วัน ให้เตรียมตัวฟิตร่างกาย เตรียมพร้อมกับการเดินป่า 3 วัน 2 คืน ที่ดอยหลวงเชียงดาว โดยงานนี้ได้จ้างไกด์ท้องถิ่น และลูกหาบไป 3 คน พวกเราอีก 4 คน ค่าทัวน์คนละ 2500 บาท (แพงไปนิด แต่ก็เบาตัว เดินแบกแต่กล้องไปถ่ายภาพ เต้นท์ และอาหารทางทัวน์เหมาหมด)

เป้าหมายของทริปนี้ มี 5 เป้าหมาย ด้วยกัน คือ
1. แวะตัวเมือง เชียงดาว ทาน ขาหมูเชียงดาว เจ้าเก่า
2. ตามหาเทียนนกแก้ว ณ ดอยหลวง
3. ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก ณ ยอดดอยหลวงเชียงดาว
4. ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น ณ ยอดดอยกิ่วลม
5. ถ่ายทะเลหมอก

เรามาติดตามกันว่า ทริปนี้ เราจะพิชิตเป้าหมาย และลันล่า กันได้ไหม....

การเดินทางจากกรุงเทพเชียงใหม่ด้วยรถทัวน์ VIP สมบัติทัวน์ ราคาตั๋ว เกือบ 900 บาท เบาะใหญ่ นั่งสบายดี ถึงเชียงใหม่ตี 5 เพื่อนร่วมทริปมารับ ขับไปถึงที่ อ.เมืองเชียงดาว ตรงเข้าไปหาร้านขาหมูเจ้าเก่าเชียงดาว ที่อยู่เยื้องกับเซเว่นในเมือง

เซเว่นอยู่ขวามือ ร้านขาหมูเชียงดาว (เจ้าเก่า) อยู่ซ้ายมือ เป็นสูตรดั่งเดิมกว่า 60 ปี รับประกันความอร่อย ชิมมาแล้ว



ต่อไปที่ถ้ำเชียงดาว ไปพบกับทัวน์ไกด์ท้องถิ่น จัดของให้ลูกหาบ และรับอาหารเที่ยง (ข้าวกล้อง) แล้วเตรียมตัวเดินขึ้น plan คราว ๆ เราจะไปกลางเต้นท์กันครึ่งทาง หลังจากนั้นก็เดิน แล้วก็เดิน
-->
เราเดินขึ้นระยะทาง 6.50 กิโลเมตร แต่วันนี้เราจะเดินแค่ 3.5 กิโลเมตร แล้วแวะพัก กางเต้นท์กลางทาง เพื่อให้เต็มอิ่มกับการเก็บภาพ เจ้าเทียนนกแก้วน้อย ๆ ที่น่ารักของเราก่อนถึง ที่กางเต้นท์วันที่สอง คือ จุดกางเต้นท์ อ่างสลุง

ระหว่างทางเดินเราก็เก็บภาพเจ้าเทียนนกแก้ว ได้เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ว่าที่จุดพักแรม มีเป็นต้นใหญ่ เป็นฝูงเทียนนกแก้วทำให้เก็บได้ตอนทั้งตอนเย็น ถึงเช้าวันรุ่งขึ้น 

บริเวณจุดพักแรก คืนแรก มีห้องน้ำที่ทางเจ้าหน้าที่ทำไว้ด้วย ตัวอย่างเช่น


แต่พวกเราก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใช้นะ แบบว่า ไม่แน่ใจว่า เปิดเข้าไปจะเห็นอะไร เลยงด ถ่าย(หนัก) ได้แต่เบา ๆ ไว้ก่อนกันทุกคน ระหว่างทางเดิน ก็มีทั้งนก และวิว ที่สวยงาม ประมาณว่า เหนื่อยก็หาเรื่องจอด ถ่าย จอดถ่าย (รูป) กันตลอดทาง เลยรู้สึกว่า เดินคราวนี้ไม่ค่อยเหนื่อยเลยจ้า...

เทียนนกแก้ว ที่บริเวณ ที่พักแรกคืนแรก
 และค่ำคืนนั้นเราก็ได้ฟังเรื่องเล่าของ ดอกเทียนนกแก้ว ดังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

เช้านี้....มีเรื่องเล่า เรื่องอ้าง เรื่องแต่ง... จะมาบอก...ถึง..ที่มาของ...ดอกเทียนนกแก้ว ณ ดอยหลวงเชียงดาว......

เมื่อในครั้งหนึ่งที่นานมาแล้ว นานมาก ๆ นานจนเกือบจะลืมไป (เดียวจะไม่มีเรื่องเล่า เลยต้องจำไว้ก่อนลืม) บนยอดดอยแห่งหนึ่ง ที่ปัจจุบันคือ ดอยหลวงเชียงดาว มีต้นเทียนเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง ลำต้นเป็นสีเขียวอ่อน ใบสีเขียว อ่อน ไร้ซึ่งสีสรร สดใส เฝ้าเหม่อมอง เหล่าสกุณา นกเล็ก นกใหญ่ ที่บินมาเกาะยอดไ
ม้ หยอกล้อต้นหญ้า และจิกหนอนบนดิน โฉบไป โฉบมา โดยไม่มีแม้สักตัวจะเหลียวมอง เจ้าต้นเทียนน้อยสีเขียวอ่อน ๆ ที่ขึ้นอยู่บนพื้นดี และร่องหินเล็ก ๆ ต้นนี้ .....

เจ้าต้นเทียนน้อย เฝ้าร้อง ภาวนา ขอเหล่าเซียนบนฟ้า บนยอดดอย ให้ตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งของเหล่าสกุณา นกน้อย ๆ เหล่านั้น ขอเพียงเศษเสี้ยวของความสนใจ ของการเหลียวแลกันบ้าง....

เจ้าต้นเทียนน้อย ภาวนาทุกวัน ทุกเวลา จนใกล้จะหมดเวลาของมัน จนกระทั่งเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง....ร่างกายของมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มันมีตุ๋มเล็ก ๆ งอกขึ้นจากปลายเส้นเล็ก ๆ สีเขียวอ่อน ๆ ใส ๆ ของมัน และเติบโตขึ้น มีสีสรร มีปีก และงดงาม ราวกับนกแก้วตัวน้อย ๆ และพร้อมจะออกโบยบิน แต่สายเล็ก ๆ สีเขียวที่ต่อเชื่อมกับต้นเทียน กับมิอาจหลุดออก และไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะออกบินได้... เจ้าต้นเทียนน้อยพยายามจะออกบินไปนานเป็นเดือน จึงท้อใจ และหมดเรี่ยวแรง แห้งเหี่ยวไป....

แต่เหล่า ผู้กล้า ผู้มาเยือนจากถิ่นใต้ ดินแดนไกล กลับให้ความสนใจ และชื่นชมกับความเปลี่ยนแปลงของ เจ้าต้นเทียนน้อย ... และขนานนามเจ้าเทียนต้นนี้ว่า เจ้า ....เทียนดอกนกแก้ว... ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา.......




 วิว ระหว่างทางเดินในวันแรก กว่าจะถึงสามแยก ที่มีป้ายบอกทาง ก็ใช้เวลาในการเดินกว่า 3 ชั่วโมง เรียกว่า ใช้เวลาเดินไป พักไป ถ่ายรูปไปตลอดทางเลยค่ะ
 วิว ยอดดอย ทางเดิน บรรยากาศดี เดินสนุก อากาศดีมาก ๆ ชอบที่สุดเลยทริปนี้

 วิว ยอดเขาสามพี่น้อง ดูกันเอาเอง ใครพี่ใหญ่ ใครน้องเล็ก....

ยอดดอยหลวงเชียงดาว จุดดูพระอาทิตย์ตก ที่สวยที่สุดดดดด....งดงาม มาก ๆ เดินขึ้นจากจุดพักแรกอ่างสลุง เป็นระยะทางชัน ชัน และชัน เดินประมาณ 30 - 45 นาทีจ้า...

 แสงอาทิตย์สาดส่อง ขุนเขา เงาไม้ งดงามยิ่งนัก เหมือนพวกเรานั่งอยู่บนสรวงสวรรค์ งดงาม ยากยิ่งจะบรรยายจริง ๆ อยากให้ ชีวิตหนึ่ง ของทุกคน ได้มาเห็นภาพที่งดงามเช่นนี้มาก เลยค่ะ

วิว เส้นทางเดินกลับ ทางเดินลง ก็มีแต่ทางลง ทางลง และก็ทางลง จริง ๆ ต้องดูแลเข่า ข้อเท้าให้ดี ๆ 

ยอดดอยหลวงเชียงดาว ที่ถ่ายตอนเดินลง งดงาม จนไม่อยากจากไปเลยจริง ๆ ...

ก่อนจะออกนอกเรื่องไป เราก็กลับมากับจุดมุ่งหมายของเรากันก่อน ประสบความสำเร็จไปแล้ว 2 จุดมุ่งหมาย คือ ทานขาหมูเชียงดาวเจ้าเก่า และเก็บเจ้าดอกเทียนนกแก้ว ณ ดอยหลวง

ต่อไปคือ ภาพพระอาทิตย์ตก ณ ยอดดอยหลวงเชียงดาว 

ภาพพระอาทิตย์ขึ้น ณ ยอดดอยกิ่วลม

และ ทะเลหมอกบนยอดดอย

มาชมภาพกันได้เลยจ้า.....

ภาพนี้ถ่าย บน ยอดดอยหลวงเชียงดาว พระอาทิตย์ตก แสงสวยงาม และงดงามมาก เกินกว่า ความสามารถของ ญ. ตัวน้อย ๆ จะเก็บภาพมาได้ (แบบว่า... ความสามารถไม่ถึง)

ภาพพระอาทิตย์ขึ้น ณ ยอดดอยกิ่วลม แสงร้อนแรง งดงาม สวยมากจริง ๆ 

และภาพทะเลหมอก ยามเช้า ณ ยอดดอยกิ่วลม ทิศตะวันตก ตรงข้ามกับพระอาทิตย์ขึ้นเลยจ้า

ทะเลหมอก หลัง ดอยสามพี่น้อง แบบว่า เหมือนทะเลจริง ๆ ถ้ากระโดดลงไปว่ายได้คงกระโดยไปแล้ว นุ่มนวล และสวยงามมาก ๆ เกินคำบรรยายจริง ๆเลย

และขอแถมภาพนก น้อย ๆ ที่ บริเวณจุดกางเต้นท์ อ่างสลุง จ้า


เป็นเหล่านกที่น่ารักมากๆ เลยค่ะ ถ้าได้มีโอกาสแวะไป อย่าลืมมองหาพวกเขานะค่ะ อยู่ใกล้ ๆ บินรอบ ๆ เราเลยค่ะ





-->

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

@เชียงใหม่

เชียงใหม่ หรือ อาณาจักรล้านนา


บรรยากาศเชียงใหม่ วันนี้ เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ให้คุณแวะไปเยี่ยมเยียน จากที่แวะไปรับประทานมาหลาย ๆ ร้าน ประทับใจ กาแฟร้าน iberry อร่อยมาก ขนมก็อร่อย สรุปไปกินทุกวัน จนอ้วนขึ้นมา 2 กิโล ก่อนกลับ อีกร้านที่แนะนำ คือ เวียงจูมออน ที เฮาล์ เป็นร้านที่บรรยากาศดีมาก ๆ นั่งชิว ๆ ได้ทั้งวัน ชาสมุนไพรหอม ดื่มด่ำมาก ๆ อยากบอกว่าไปแล้ว นั่งเพลิดจนเย็นเลยแหละ อีกร้านถัดมา คือ Miss Chocolate เค็กอร่อยมาก กินแล้ว อยากกินอีก แบบว่าลืมอ้วนเลยแหละ จริง ๆ นะ
แถมร้านค้าโบราณ ไข่ป่ามลุงอิน ถนนคนเดินมาให้อีกนิด ไปเชียงใหม่แล้ว ทานแต่เค็ก กาแฟ ชา ลืมขนมพื้นบ้าน ไข่ป่ามได้ไง เลยไปชิม เจ้าเนี่ย อร่อยจริง ๆ นะ รับประกัน ฟันธง...

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

หนังสือเรื่องเล่าจาวกาด

สวัสดียามเย็น ณ ร้าน Miss Chocolate เชียงใหม่ เวียงจูมออน วันนี้อากาศดี ร้อนนิดหน่อย ได้เวลาเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งทานกาแฟเย็น ขนมเค็กรสชอกโกแลต ที่ร้านสุดฮิบ แนวสบาย ๆ แบบล้านนา

ร้านนี้เค็กอร่อย หอมมัน เหมาะสำหรับคนชอบ Chocolate จริง ๆ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ wifi free อ่านหนังสือฟรี อากาศบริสุทธิ์ ฟรี กับวันฟรี ๆ ของเรา

เลี้ยวหันไปเห็นหนังสือชื่อ "เรื่องเล่าจาวกาด" น่าสนใจรูปเล่มน่ารักดี เลยเดินไปหยิบมาอ่านสักหน่อย เปิดดู เป็นเรื่องเล่าของชาวเชียงใหม่ จาวกาด หรือชาวตลาด ชาวบ้านเชียงใหม่ เนี่ยแหละ ซึ่งมีทั้งชาวเชื้อสาย ไทย จีน  เราเลือกหนังสือ เรื่องเล่าจาวกาด เล่ม ๔ มาอ่าน เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพร ยา และสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชื่นชอบ และสนใจอยู่แล้ว เลยได้เกร็ด เล็ก ๆ มาเล่า ให้เพื่อน ๆ ฟัง ดังนี้

สมุนไพรพื้นบ้าน หญ้าเอ็นยึด ซึ่งเป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไป มีสรรพคุณในการแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ด้วย หรือถ้ามีอาการปัสสาวะไม่ออกก็สามารถนำเอาหญ้าเอ็นยึดมาต้มกินได้ หาได้ง่ายที่สนามข้างป่าละเมาะมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือก็คือพืชผักชนิดหนึ่งที่ชาวเชียงใหม่นิยมปลูกนำมากินกับลาบนั้นเอง ไม่น่าเชื่อค่ะ งานนี้ต้องหารูปมาดูกันว่าลักษณะเป็นแบบไหน

แล้วยังมีเรื่องเล่าสำหรับคนเป็นนิ่วอีกค่ะ คนที่เชียงใหม่โบราณ เขาใช้ ดอกบานไม่รู้โรยดอกขาว มาต้มกิน ช่วยในการขับนิ่ว ขับปัสสาวะ

เชียงใหม่ยังมีสมุนไพรอีกมากมาย ไม่น่าเชื่อเลย เราคนไทย เด็กรุ่นใหม่ ไม่ค่อยรู้จักหรอกค่ะ สมุนไพรสมัยนี้ รู้จักแต่สมุนไพรที่นำมาทำชาดื่ม ก็มีไม่กี่ตัว เช่น ชาอัญชัน ชาดอกมะลิ ชาใบหม่อน ชาเขียว ชาเจียวกู้หลาน เป็นต้น

พออ่านก็เริ่มสนใจเรื่องสมุนไพรขึ้นมาทันที ในหนังสือก็มีแนะนำร้านสมุนไพรจีนโบราณ ที่อยู่คู่กับเมืองเชียงใหม่มานานหลายร้อยปี คือ ร้านขายยาจีนของซินแซตั้งฮกเซี้ยง ที่อยู่หน้ากาดหลวง ซินแซแกใช้วิธีการตรวจแบบ การแมะ จับชีพจร แล้วก็สั่งยา เราก็ขับรถไป แถวนั้นรถติดมาก ไปเรียบ ๆ เคียง ๆ ดู ร้านแกเก่า และแกเองก็แก่จริง ๆ นะ

เล่าพอหอมปากหอมคอนะค่ะ เอาเป็นว่า หากได้มีเวลามาแอ๋วเชียงใหม่ แวะไปหาหนังสือ เรื่องเล่าจาวกาด มาเปิดอ่านกันบ้างนะค่ะ หรือ อยากชิว ๆ เชิญมาแวะชิมเค็กชอกโกแลต อันหอมหวาน @ Miss Chocolate นะจ้าว........งงง

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปู่ตะพาบขาว บึงอภัยทาน เชียงใหม่


ณ ที่แห่งหนึ่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ อ.แม่ริม ต้องขอโทษที่มิอาจเอ่ยนามได้ มีรีสอร์ทแห่งที่ มีตะพาบขาวตัวใหญ่ อาศัยอยู่ ผู้คนที่นั้นเรียกกันว่า ปู่ตะพาบ ภายในบึงเป็นน้ำสีเขียว ใส ตลอดทั้งปี ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าเป็นวังพญานาค บางก็บอกว่ามีพระธาตุของพระพุทธเจ้าลอยขึ้นมา จึงถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มิมีผู้ใดลงไปว่ายน้ำ หรืออาบน้ำ

คำเล่าลือที่ว่า "ปูตะพาบขาว ใครได้พบและจับท่านจะมีความสุข ปู่ตะพาบชอบกินขนมปัง จะขึ้นมาเล่นน้ำทุกเช้า และเย็น คนที่นั้นเล่าว่า บึงนี้มีทางออกติดกับคลองชลประทาน ซึ่งปกติตะพาบก็สามารถออกไปข้างนอกได้ แต่ปรากฏว่า ปู่ตะพาบไม่เคยมีใครเห็นว่าพบที่อื่นเลย นอกจากที่บึงอภัยทานแห่งนี้ มีผู้ปฏิบัติธรรมบางท่าน บอกว่า ปู่ตะพาบนี้มีภพภูมิเป็นคนแต่ด้วยทำผิดศีลบางอย่าง และถูกส่งมาให้เฝ้าของสำคัญ จึงต้องเกิดมาเป็นตะพาบ แต่จริง ๆ ท่านเป็นมนุษย์ ฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง สามารถพูดคุยกันได้ บางก็พูดกันว่า ปู่ตะพาบเป็นบริวาลของพญานาคราชในบึงนั้น บางก็บอกว่าเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เรื่องเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ยังมิได้พิสูจน์ และคงอยากจะหาข้อเท็จจริง

เอาเป็นว่า เราแค่อยากเขียนมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง และแนะนำปู่ตะพาบขาว ให้เพื่อนๆ รู้จัก เราเคยทำงานที่นั้น เคยให้ขนมปังปู่ เคยพูดคุยปรับทุกข์กับปู่ตะพาบขาว เราแค่อยากฝากความคิดถึงไปยัง ปู่ตะพาบขาว บอกว่า "ปู่จ๋า คิดถึงจัง ไว้หนูจะเอาขนมปังไปให้อีกนะ ถ้ามีโอกาส...." หากเพื่อนคนใด ได้อ่านข้อความนี้ และได้มีโอกาสได้พบปู่ตะพาบขาว เราฝากความคิดถึงไปด้วยนะ

ขอบคุณเพื่อน ๆ ล่วงหน้าเลยแล้วกัน

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

วีรกรรมคนกล้าแต่ไม่ฉลาดที่ออบขาน


อุทยานแห่งชาติออบขาน ตั้งอยู่ห่างจาก อ.เมืองเชียงใหม่ ประมาณ 30 กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นยอดเขาสูง อากาศโดยทั่วไปค่อนข้างร้อน และเย็นในฤดูหนาว สถานที่ท่องเที่ยว ออบขาน ออบไฮ ผาตูม ถ้ำตั๊กแตน และถ้ำห้วยหก

การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปหางดง ถึงสี่แยกพบป้ายไป อ.สะเมิง เลี้ยงขวาไป ถึงสี่แยกคลองชล เลี้ยวซ้ายพบป้ายทางไปอุทยาน (นี่คือข้อมูลการเดินทางไป ขอบอกดัง ๆ นะ "ใช้ไม่ได้เลย ไปอยากกว่านี้ตั้งเยอะ เราไปลงที่ หางดง หารถประจำทางไปต่อไม่ได้ ต้องเหมารถไป ต่อรองราคาตั้งนาน แล้วทางเข้าไปนะ วกวนจะตาย เราว่าถ้าใครไม่รู้จักคนท้องถิ่นนะ ให้เอารถไปเอง แล้วขับไปถามไป หรือโทรไปที่อุทยานเบอร์ 0861811068 ให้เขามารอที่ หน้าอำเภอหางดงดีกว่านะ"

หลังจากเดินทางเข้ามาถึงออบขานแล้ว เข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ขอกางเต้นท์ ราคาก็เหมือน ๆ กัน คือ 30 บาท หลังจากนั้นก็เดินไปที่จุดกางเต็นท์ หามุมเหมาะ ๆ วันที่พวกเรามา มีนักท่องเที่ยวไปเยอะมาก ส่วนมากก็ขับรถมาทั้งนั้น มีแต่พวกเราที่จ้างรถมา (ออ...ลืมบอกไป ต้องนัดรถเขามารับด้วย เพราะอาจไม่มีรถออกไป เพราะนักท่องเที่่ยวที่นี้ ไม่นิยมค้างแรม แค่มาแวะเที่ยว แล้วก็กลับ อาจทำให้วันที่พวกเราเดินทางกลับไม่มีรถก็ได้ พี่เจ้าหน้าที่บอกไว้อย่างนั้น"

พวกเราเดินหาทำเลกางเต้นท์ ตามหลักการที่เคยกล่าวไว้ในบทที่ผ่านมา (กลับไปหาอ่านได้นะ) เมื่อพิจารณาดูแล้วได้มุมที่เหมาะสมก็กางเต้นท์ทันที เมื่อเสร็จก็เริ่มมองหาของกิน เดินไปที่ร้านสวัสดิการสั่งอาหารกล่อง และแวะเอาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่แรกตามรูป เป็นแม่ขาน เดินเที่ยวไปตามทางในคู่มือ แวะถ่ายรูป เพลิดเพลินกับธรรมชาติ และก็ถึงออบขาน เดินต่อไปยังจุดชมวิว ในที่สุดก็พิชิตยอดเขาได้อีกหนึ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีที่ใครสูงเกินกว่าเข่า"


หลังจากเที่ยวไป ถ่ายรูปไปจนเหนื่อย เดินกลับมาตามทางน้ำที่ไหลเชียว ช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาวนี้ น้ำที่ออบขานยังเยอะ และค่อนข้างสีขุ่น สักพักได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงว่า "ช่วยด้วย ช่วยด้วย คนตกน้ำ" พวกเราหันไปดูในลำน้ำ มีคนอยู่ เขาผุดขึ้นและจมลงไป พวกเราหันซ้าย หันขวา เห็นคนเริ่มวิ่งมาดูกัน แต่ก็ไม่มีใครลงไปช่วย เจ้าดำ (จำได้ไหม หนึ่งในแกงค์ตะลอนเที่ยวไง) มันวิ่งลงไปในน้ำ พอลงไปน้ำเชี่ยวมาก มันพยายามจะเดินลงไปเอามือไว้จับ แต่มันคงพึ่งนึกได้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น มันเองกลับขึ้นมา คนตกน้ำลอยไปตามกระแสน้ำ ผ่านหน้าเราไป และเริ่มจมหายไป เราตกใจมาก เลยวิ่งกระโจนลงไปในน้ำ ขณะดำลงไป น้ำมันขุ่นมาก มองไม่เห็น แต่สักพักเราก็ขว้างเสื้อได้ และดึงเข้าหาตัว ดันคนตกน้ำให้ขึ้นจากน้ำ เขาก็เลยเข้ามากอดเรา ตัวเขาใหญ่กว่าเรามาก เราเริ่มหายใจไม่ออก มือเขาจับที่ไหล่เรา อีกมือกอดที่คอ เราพยายามดึงมือที่คอเราออก เขาก็ยิ่งเกาะกอดเแน่น เราไม่รู้ว่านานเท่าไร แต่เราก็ยังพยายามที่จะดันเขาออกไป และผลักเข้าไปริมฝั่ง แต่ตัวเราก็จมลงเรื่อย ๆ ไปสามารถขึ้นไปหายใจได้ ช่วงเวลานั้น มีมือ 2 มือมาดึงแขนเราไว้ ดึงเขาขึ้นมาจากในน้ำ เราโผล่มาขึ้นมาหายใจ และเริ่มมองเห็น พบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2 คน ลงมาช่วย อีกคนเข้าดึงคนตกน้ำขึ้นไปแล้ว และอีกคนก็ผลักเข้ามาจนถึงฝั่ง เมื่อขึ้นมาถึงฝั่งได้ น้องสองคนที่มาด้วยกันก็เข้ามาช่วยประคอง และถามเราว่าเป็นไรไหม เราไม่ได้ตอบไป เพราะเหนื่อยมากเลย ก็เลยสั่งให้เจ้าดำไปก่อกองไฟ มันเริ่มจะหนาว ขอผิงไฟหน่อย พอตั้งสติได้สักนิด ก็เหลือบไปเห็นเจ้าดำมันนั่งแกะโทรศัพท์อยู่ ตอนมันโดดลงน้ำไป มันลืมเอาโทรศัพท์ออก เออ. เราเลยนึกขึ้นได้ว่า แว่นตาเราก็หายไปกับสายน้ำ กรรม มองอะไรก็ไม่ชัด เมื่อเข้าไปอาบน้ำเสร็จแล้ว สักพักคนที่ตกน้ำและครอบครัวก็เดินมาขอบคุณเรา ยกย่องเรา และต่อว่าคนอื่นว่าไม่มีใครช่วย แต่เราไม่เห็นดีใจ ในใจเราคิดว่า "เราไม่ได้ช่วยอะไรเขานะ เพราะช่วยแล้วไม่สำเร็จอ่ะ แถมทรัพทย์สินเสียหายอีก ทั้งแว่นตา โทรศัพท์ เออ...."

คืนนั้น พวกเราคุยกันถึงเหตุการณ์นี้ เหมือนเรื่องตลก แต่มันไม่ตลกเลย เพราะจริง ๆ แล้วเรายังโชคดีที่รอดมาได้ การจะช่วยคนตกน้ำ ต้องคิดพิจารณาให้ดีก่อน เช่น มีไม้ยาว ๆ แถวนั้นอยู่ไหม มีเชือกหรือเปล่า หรือพิจารณาดูก่อนว่าตัวเรามีกำลังแค่ไหน และทำได้แค่ไหน หากเหตุการณ์นี้ไม่มี นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2 คนนั้น เราจะมีชีวิตอยู่วันนี้หรือไม่ เหตุการณ์นั้นจะเป็น เหตุการณ์อันหน้าเศร้าหรือไม่ . อยากให้ทุกคนที่อ่านเรื่องนี้แล้วพิจารณาให้ดีนะ วีรกรรมคนกล้า แต่ ไม่ฉลาด อย่างเรา ควรหรือไม่ที่จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทำเลเต้นท์ทำเหตุ



ถ้าใครชอบแบกเป้ เดินทาง ตั้งแคมป์ คงได้พบประสบการณ์แบบนี้บ้างไม่มากก็น้อย.............. ปวดหลัง นอนหลับไม่สบาย หินทิ่มหลังตอนนอน น้ำค้างหยดจากเต้นท์ กิ่งไม้หล่นใส่เต้นท์ ทำท่วมเต้นท์ จะเคยมีประสบการณ์หรือไม่ก็ลองมาอ่านประสบการณ์นี้ดูนะค่ะ

ประสบการณ์แรกจากทริปเชียงใหม่ หน้าฝน

ณ อุทยานแห่งชาติออบหลวง หน้าฝนที่ลำน้ำไหลผ่านห้วยออบหลวงเป็นสีขุ่นเหมือนโคลน มีหาดทราย(แต่ไม่ขาว ไม่ละเอียด) อยู่ริมแหล่งน้ำ กลางวันน้ำลง กลางคืนน้ำขึ้น กฏธรรมชาติ รู้ก็รู้ แต่คิดว่าก็น่าจะเป็นเฉพาะทะเล (คิดได้ไงไม่รู้) กางเต้นท์ริมน้ำ ได้บรรยากาศสุด ๆ คืนนั้นเหนื่อยมาก ๆ นอนหลับเป็นตาย จนเพื่อนมาเขย่า ยังไม่อยากตื่น "ตื่น ๆ น้ำท่วมเต้นท์แล้ว ยกเต้นท์หนีเถอะ" เฮ้อ....เต้นท์เปียกเลย กระเป๋าก็เปียก ไงเนี่ย ออ...น้ำขึ้นจ้า..............(กฏข้อแรก ห้ามกางเต้นท์ติดริมน้ำมากเกินไป อาจเกิดเหตุการณ์นี้ได้)

ประสบการที่สองจากทริปพิษณุโลก หน้าหนาว

ณ อช. ทุ่งแสลงหลวง หน้าหนาว ทิวทุ่งต้นสนสูงตะหง่าน แหงนคอมองความงาม จนเมื่อย ลำต้นสีดำทะมึน ใบสนแหลม เรียวสีเขียวเข้ม ตัดกับพื้นดินที่ถูกปูพรมด้วยใบสนแห้งสีน้ำตาลแดง น้ำตาลเหลือง

งามสุดบรรยาย หายเหนื่อยจากการนั่งรถโบกมาทั้งวัน ทริปนี้กางเต้นท์ในป่าต้นสน เจ้าหน้าที่จัดที่กางเต้นท์เป็นลานกว้างไว้ให้ ไม่อ้าวววววววววววววววว เราจะเอาใต้ต้นสน ...... ได้จุดดีใต้ต้นสน 2 ต้นขนาบข้างเต้นท์ คืนนี้ นอนไม่หลับทั้งคืน เพราะว่า....ใบสนเอย กิ่งสนเอย ลูกสนเอย ตกใส่เต้นท์ ดังทั้งคืน ยังไม่พอ รากต้นสนใต้เต้นท์เราซิ ทำเอาเราเจ็บหลัง ปวดหลัง ไปทั้งวัน......... โทษฐานดื้อ ไม่เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ (กฏข้อ 2 และข้อ 3 คือ ต้องเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ กางเต้นท์ในจุดที่ให้กาง และไม่ควรกางเต้นท์ใต้ต้นไม้ เพราะอาจเกิดอันตราย และปวดหลังได้ สำคัญนะเนี่ย)



เล่าแค่ 2 ประสบการณ์ พอเป็นน้ำจิ้ม เอาเป็นว่าขอแนะนำเคล็ดลับในการตั้งเต้นท์เลยแล้วกัน

หากเราต้องเข้าไปเที่ยวในป่า การตั้งแค้มป์ดูจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคงไม่มีใครมาสร้างบ้านพักให้เรากลางป่ากลางเขา แต่จะเลือกพักตรงไหนเป็นเรื่องที่สำคัญก หากเราเลือกไม่ดีไม่เหลมาะสมก็อาจทำให้การพักผ่อนไม่สบายเท่าที่ควร หรืออาจจะเกิดอันตรายได้

ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาสถานที่ตั้งแค้มป์ให้ดี โดยอาจจะมีหลักง่าย ๆ ดังนี้
1. กำหนดสถานที่ที่จะไปล่วงหน้า พร้อมศึกษาข้อมูลของสถานที่นั้น ๆ อย่างละเอียด
2. ควรมีการตรวจสอบเส้นทางการเดินทาง สภาพดินฟ้าอากาศ เพื่อที่จะได้เตรียมตัวได้ถูกต้อง
3. ควรฝึกกางเต็นท์ให้คล่องเสียก่อนเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตั้งแค้มป์
4. สอบถามข้อมูลของสาถนทที่ที่จะตั้งแคมป์จากเจ้าหน้าที่หรือชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นว่าปลอดภัยดีหรือไม่ 5. ต้องมีการแบ่งงานกันเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำงานต่าง ๆ
6. ควารกางเต็นท์ก่อนพระอาทิตย์ตกดินอย่างน้อย 2 ชั่วโมง (ประมาณบ่าย 4 โมงเย็นก็ควรเริ่มหาทำเลที่ตั้งแค้มป์ได้แล้ว)
7. ควรสังเกตว่าบริเวณนั้นเป็น “ด่านสัตว์” หรือไม่โดยสังเกตจากจะมีรอยเท้าสัตว์เหยียบย่ำไปมาในบริเวณนั้น หากพบว่าเป็นด่านสัตว์ควรหลีกเลี่ยงให้ไกลเพราะอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ได้

การกางเต็นท์ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เราจะหลับสบายหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกพื้นที่กางเต็นท์ของเรา ซึ่งควรพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้ก่อนเลือกทำเลกางเต็นท์
1. คำนวณความลาดชันของพื้น หากต้องนอนในที่ลาดชันมาก ก็อาจจะทำให้เราปวดหลังได้ แต่ถ้าหากเหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรนอนให้หัวอยู่สูงกว่าเท้า กันเลือดตกหัว
2. ตรวจสอบสภาพพื้นดินก่อนกางเต็นท์ พื้นของเต็นท์เป็นเพียงผ้า หากเรานอนในที่ทพื้นไม่เรียบขรุขระ หรือแข็งเกินไปก็อาจทำให้การนอนไม่มีความสุข แต่ถ้าหากเป็นพื้นที่เรียบโดยเฉพาะบนพื้นหญ้าก็จะนุ่มหลับได้อย่างสบาย และหากเรามีแผ่นรองนอนก็จะช่วยได้มากยิ่งขี้น
3. ตรวจสอบสภาพด้านบนของจุดกางเต็นท์ ไม่ควรกางใต้ต้นไม้ หรือใต้ผาชัน เพราะอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขณะหลับเพลิน ๆ ได้ เช่น กิ่งไม้หล่นใส่ หรือดินจากผ่าถล่มลงมาได้
4. กางเต็นท์ให้พ้นจากพวกแมลง ก่อนเรากางเต็ฯท์ควรตรวจสอบให้ดีว่าไม่ได้กางทับรังมดแดง หรือบริเวณที่มียุงชุกชุม
5. ตรวจสอบทิศทางน้ำ หากเราไปตั้งแค้มป์หน้าฝน เราควรดูว่าจุดที่เรานอนไม่ได้เป็นทางน้ำไหลผ่านหรือเราอาจจะมีวิธีป้องกันโดยการขุดร่องรอบ ๆ เต็นท์
6. ตรวจสอบผู้คนที่ตั้งแค้มป์อยู่รอบ ๆ สำหรับจุดพักแรมตามสถานที่ที่คนมาก ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกแค้มป์คาร์ที่จอดรถแล้วถึง บริเวณเหล่านี้จะมีคนมาก ควสรหลีกเลี่ยงทำเลที่อยู่ใกล้กับกลุ่มคนมาก ๆ หรือ พวกที่ชอบกินเหล้า เพราะคนเหล่านี้มักจะส่งเสียงดัง อาจจะทำให้เรานอนไม่หลับ ซึ่งการพักแรมเราไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นหลัง 22.00 น.