วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โครงการชุดนักเรียนเพื่อน้องที่ขาดแคลนได้เรียนหนังสือ ปี 2552


วัตถุประสงค์โครงการ

1.        เพื่อให้ เด็ก และเยาวชนขาดแคลนและทางครอบครัวไม่มีทุนทรัพย์ในรายจ่ายเกี่ยวกับอุปกการศึกษา ได้มีชุดนักเรียนอุปกรณ์การเรียน  ไว้สวมใส่และเล่าเรียนอย่าครบครันเท่าทันคนอื่น ๆ ที่มีทุนทรัพย์
2.         เพื่อให้ผู้ใหญ่ใจดีได้มีส่วนร่วมในการแบ่งปันโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก ๆ บนดอยสูง 
3.        เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ร่วมกันแบ่งปันน้ำใจให้กับเด็กๆ และครอบครัวในชนบทห่างไกล

ทางกองทุนเสื้อผ้ามือสอง จึงขอเชิญชวนผู้ใหญ่ใจดีทุกท่าน มอบโอกาสสู่เด็ก ๆ บนดอย โดยร่วมบริจาค

·        ชุดนักเรียน  สำหรับนักเรียนระหว่างอายุ 3 – 15  ปี 
·        รองเท้านักเรียน ชายและหญิง  
·        ถุงเท้านักเรียน  (สีน้ำตาล และสีขาว )
·        อุปกรณ์การเรียนการศึกษา ฯลฯ  
·        ชุดลูกเสือ  เนตรนารี
·        ชุดยุวกาชาด  


โครงการ " ชุดนักเรียนเพื่อน้องที่ขาดแคลนได้เรียนหนังสือ ปี 2552 "


          แววตาใสซื่อและรอยยิ้มด้วยความปิติ ของ เด็ก ๆ ยามสวมใส่ชุดนักเรียนตัวใหม่ในวันเปิดเรียน  เพราะ.ในวันนี้ใช่ว่าแค่วันเปิดเรียนเท่านั้นแต่เป็นวันที่เขาได้เรียนในห้องเรียนระดับที่สูงขึ้น  สำหรับเด็ก ๆ นเมืองใหญ่ที่ครอบครัวมีความพร้อมในเรื่องทุนทรัพย์  คงไม่แปลกที่เปิดเทอมแต่ละครั้งพวกเขาจะมาโรงเรียนในวันเปิดเทอมพร้อมกับชุดใหม่  รองเท้าถุงเท้าคู่ใหม่ กระเป๋านักเรียนใบใหม่  แต่เด็ก ๆ บนดอยเล่ามันแตกต่างกันยิ่งนัก  วันเปิดเทอมสำหรับพวกเขาไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเลย  ชุดนักเรียนตัวเก่าที่แทบจะขาด ไร้ซึ่งความ?าว  รองเท้าก็ไม่ต้องเอ่ยถึง  เท้าเปล่าที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนั้นแหละเป็นรองเท้าอย่างดีที่พ่อแม่ให้มา  กระเป๋า นักเรียนก็ทำมาจากกระสอบปุ๋ยที่เรา ๆ ท่าน ๆ เห็นว่าไร้ค่านั้นแหละคือกระเป๋านักเรียนที่สูงค่าของเด็ก ๆ ตัวน้อยที่พ่อแม่เย็บให้  ที่ผ่านมาทุกเปิดเทอมเด็กบางคนไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะพ่อไม่ไม่มีเงินซื้อชุดนักเรียน

สร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็ก ๆ   สร้างความภาคภูมิใจในการเป็นนักเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ  เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ร่วมกันแบ่งปันน้ำใจให้กับเด็กๆในชนบท  เสื้อผ้าชุดนักเรียนที่ใช้แล้วยังเกิดประโยชน์มากมายกับเด็กๆในชนบทจริงๆ
                                                           
 
                                                          แม่กำลังลองใส่กางเกงเพื่อวัดขนาดเอวลูกชาย

                                                          

                                                          ผู้ปกครองพาบุตรหลานมารอรับบริจาคชุดนักเรียน
เด็ก ๆ มาเข้าแถวเพื่อรอรับบริจาคชุดนักเรียนแต่เช้าตรู่

หนูน้อยใบหน้าอิ่มเอมกับชุดนักเรียนและกระเป๋านักเรียนใบใหม่
ทาง  "โครงการชุดนักเรียนเพื่อน้องที่ขาดแคลนได้เรียนหนังสือ  ปี 2552 "  ของกองทุนสื้อผ้ามือสองได้ตั้งวัตถุประสงค์ที่จะมอบชุดนักเรียน  อุปกรณ์การ เรียน สมุด  ดินสอ  และอุปกรณ์กีฬา  ตามโรงเรียนต่าง ๆ  ในพื้นที่ทำงาน  ซึ่งปีนี้ทางโครงการได้เปิดพื้นที่ทำงานให้ในโรงเรียนต่างตำบล  โดยทางคณะครู และอาจารย์  อยากให้ทางโครงการของเราเข้าไปช่วยเหลือ  ..ได้ดำเนินกิจกรรมตระเวนมอบชุดนักเรียนให้แก่เด็ก ๆ ตามโรงเรียนต่าง ๆ  โดยปีนี้ทางกองทุนเสื้อผ้ามือสองได้ตั้งเป้าหมายที่จะมอบชุดนักเรียนมือสอง  อุปกรณ์การเรียน  สมุด  ดินสอ  และอุปกรณ์กีฬา  ตามโรงเรียนต่าง ๆ ในเขตพื้นที่การศึกษาในหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย   และพื้นที่อำเภอฝาง  และอำเภอแม่อาย   จังหวัดเชียงใหม่    ซึ่งรวมทั้งศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่อยู่บนดอยสูง .... เพื่อให้เด็กๆได้มีชุดนักเรียนใส่ไปโรงเรียน   
ชุดนักเรียนที่เด็ก ๆ ต้องการ..........
 


ผู้หญิง

·        เสื้อ.....คอบัวหรือคอกลาสีเรือ  แขนสั้น  มือหนึ่งหรือมือสองที่อยู่ในสภาพดีก็ได้ค่ะ 
·
        กระโปรง.....สีกรมท่า 
ผู้ชาย

·        เสื้อคอปก แขนสั้น 
·        กางเกงสีกรมท่า  สีดำ  และสีกากี 

อายุระหว่าง  3 - 15 ปี  สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล - มัธยมศึกษาปีที่ 3



หากท่านใดสนใจเข้าร่วมโครงการ   หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม  เกี่ยวกับ   “ โครงการชุดนักเรียนเพื่อน้องที่ขาดแคลนได้เรียนหนังสือ  ปี 2552 ”  ของมูลนิธิกระจกเงา ทางเรายินดีส่งข้อมูลให้เพิ่มเติม ….

โดยสามารถติดต่อได้ที่  นางสาวรัชนีวรรณ  สุขรัตน์  (แอน)
เจ้าหน้าที่โครงการกองทุนเสื้อผ้ามือสอง
โทรศัพท์  0 - 5373 - 7412 -3 ต่อ 113  ในวันเวลาราชการ
Email :  
nanay_jung@hotmail.com 

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความยุติธรรม ตาชั่งในใจคุณ

"ความยุติธรรม ไม่มีในโลก" คำกล่าวนี้ ฉันเองก็เคยกล่าว ฉันคิดว่า คุณเองก็เคยคิด ... เมื่อได้ประสบเหตุการณ์ที่ก่อให้ความรู้สึกไม่ดีกับใจเรา  ความยุติธรรม คืออะไร? ฉันสงสัยในใจ ขอเอย...ถามคุณได้ไหม...

ความยุติธรรม คือ ความเที่ยงธรรม ความชอบธรรม ความชอบด้วยเหตุผล ตามพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ 


แล้ว ความยุติธรรม อยู่ที่ไหน?  มีบางคนบอกว่า ความยุติธรรม อยู่ที่ใจของเรา แล้ว ในใจของเรา มีความยุติธรรม อยู่ที่ใด สิ่งไหนที่เรียกว่า ยุติธรรม

ความยุติธรรม ของคนสองคนเท่ากันหรือไม่
ความยุติธรรม ของคนสองกลุ่ม จะอยู่ที่ตรงไหน จะจบที่ใด ใคร่ของถามหา ความยุติธรรม...

หากมีคำกล่าว ของนักปราชญ์ว่า ความยุติธรรม คือ ตาชั่งในใจคุณ


หากแต่ ตาชั่งในใจเรา มีความเที่ยงตรง เที่ยงธรรม มากน้อยแค่ไหน หรือ ตาชั่งในใจเรา เที่ยงตรง แต่ เราเลือกที่จะชั่งเทียบ กับสิ่งที่ผิด ความยุติธรรม ที่ได้ออกมา คือ สิ่งผิด ใช่ไหม

หากนักปราชญ์ กล่าวว่า ทุกคนต้องมีตาชั่งในใจ จึงจะก่อเกิด ความยุติธรรม ได้ แต่ความยุติธรรม หรือตาชั่งของแต่ละคน มีขนาดไม่เท่ากัน มีสิ่งให้ชั่งต่างกัน ความยุติธรรม ที่ได้มาก็ต่างกัน

ดังนั้น หากเราต้องการให้ตาชั่งในใจของเรานั้น มีความเที่ยงตรง แม่นยำ และถูกต้อง เราจะต้องปรับ     จูนมัน ด้วยใจที่มี ความเมตตา ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ไม่เห็นแก่ตัว และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

เมื่อ เราสามารถปรับจูน ปัจจัยเหล่านี้ได้แล้ว โอกาสที่ ความยุติธรรม จะถูกต้อง และแม่นยำ ก็จะมากขึ้น แต่.... ความยุติธรรม ในแต่ละคน ก็ยังไม่เท่ากัน ความยุติธรรม ของใจเราไม่เท่ากันเพราะ อารมณ์ ความรู้สึก ของเรา ได้นำสิ่งเหล่านี้เข้าไปใส่ในตาชั่งด้วย เปรียบดังเช่น เวลาเราชอบใคร รักใคร เมื่อเขาทำผิด เราก็ให้ชั่งเขากับความผิด โดยเราเอาตัวเขาบวกกับความรัก ความรู้สึกที่ดีต่อเขา ไปชั่งกับความผิดที่เขาก่อ ซึ่งให้ผลของ ความยุติธรรม คือ ยกโทษให้เขา ให้อภัยเขา แต่หากคนที่เราเกลียด คนที่เราไม่ชอบ เมื่อเขาทำผิด เราก็ชั่งเขากับความผิดซึ่งบวกเอาความเกลียด ความไม่ชอบ ทำให้ผลลัพท์ที่เราเรียกว่า ความยุติธรรม ต่อเขา ออกมา คือ การลงโทษ ไม่ยกโทษให้ การประนามเขา การไม่ยอมรับเขา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ในกรณีตัวอย่างทั้งสองนี้ การที่เราจะใช้ตาชั่งในใจเรา ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และ ยุติธรรม กับส่วนรวมนั้น เราต้องใช้ความถูกต้อง และความเมตตา มาปรับจูนตาชั่งในใจเรา

แต่ใช่เพียงเท่่านี้ ความยุติธรรม จะเกิดขึ้น บุคคลที่อยู่ในสังคม ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ เพื่อส่วนรวม เพื่อเพื่อนมนุษย์ จำต้อง มีตาชั่งในใจ ที่หนักแน่น มั่นคง เมตตา ซื่อตรง และใช้กฏหมายของสังคม มาปรับจูนเครื่องชั่งของตนอีกด้วย ผู้ที่ทำได้นั้น จึงได้ชื่อว่า เป็นบุรุษผู้คง ความยุติธรรม

แต่ของให้เราจงรับรู้ไว้ว่า ความยุติธรรม คือ ตรงกลางของการยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย หรือของส่วนรวม ความยุติธรรมของคนดี ย่อมไม่เหมือนคนเลย เพราะ คนดีใช้ปัจจัยประกอบตาชั่งในใจของเราอย่างหนึ่ง คนเลวเขาก็ใช้ปัจจัยของเขาประกอบเป็นตาชั่งในใจของเราเช่นกัน แต่ ความยุติธรรม ของส่วนรวม ส่วนใหญ่นั้น น่าจะเป็น ความยุติธรรม ที่เป็นส่วนกลาง ที่สังคมยอมรับกัน จึงทำให้สังคม บ้านเมือง ประเทศชาติ อยู่กันได้อย่างสงบสุข นั้นเอง

หากมีคนถามคุณว่า "ความยุติธรรม อยู่ที่ไหน" คุณเองคงตอบได้แล้วใช่ไหมค่ะ....

หากมีคนบ่อยว่า "ความยุติธรรม ไม่มีในโลก"  คุณเองคงให้คำแนะนำเขาได้แล้วใช่ไหมค่ะ...

ลองมา ฝากความคิดเห็นของคุณ พูดคุยกัน ถึงความยุติธรรมในแง่มุม คุณกับเราที่นี้นะค่ะ

สวัสดีค่ะ ความยุติธรรม มองดู ตาชั่งในใจคุณ ทุกวันนะค่ะ.....

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รักพ่อ รักแผ่นดิน รักในหลวง

ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบ ความรู้สึกนี้ ในกับทุก ๆ คนที่ได้ชม คุณพงษ์พัฒน์ พูดได้ซึ้งมาก ๆ ฟังแล้ว น้ำตาไหล ตัวสั่นไปหมด ความรักมันล้นออกมา ขอให้ทุกคนร่วมกันเผยแพร่ความรู้สึกนี้ ให้ข้าแผ่นดินทุก ๆ ที่ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน ความรักนี้....

รักพ่อ.... หากใครไม่รักพ่อ.... จงออกจากแผ่นดินนี้ บ้านนี้ไปเสีย.... รักพ่อ.... ขออย่าทำให้พ่อเสียใจ....





ไม่อาจบรรยายคำพูด ความหมาย ใด ๆ ให้ได้อีกแล้ว รู้แต่ ความรัก...มันล้นใจ.... มอบไว้ให้ พ่อของเรา...

สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า

สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก, สุดอัศจรรย์...


16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก

ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง

หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง “พุทธทำนาย” อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้


วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย

1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น

2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว

3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น

4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น

5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก

6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด

7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า

8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ

9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น

10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง

11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)

12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้

13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย

14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้

15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา

16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ

เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “พุทธทำนาย” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด

ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง

เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล” นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้

ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม 

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เชิญชวนบริจาคโลหิต

ทางสภากาชาดไทย พ.ญ.สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ กล่าวว่า วันที่ 8 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของ นายอังรี ดูนังต์ ผู้ให้กำเนิดกาชาดสากล 

ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรม ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยาก โดยไม่เลือกปฏิบัติในเรื่องสัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา วรรณะ

ดังนั้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จึงได้จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต ในวันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. และรับบริจาคดวงตา อวัยวะ

พร้อมทั้งจัดแสดงนิทรรศการของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติบรมราชินีนาถ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์

ผู้ที่บริจาคโลหิตในวันดังกล่าวจะได้รับเข็มกลัดที่ระลึกวันกาชาดโลก

จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตในโอกาสดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2256-4300, 0-2263-9600-99 ต่อ 1101

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บ้านเด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อน รามอินทราซอย 34

บ้านเด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อน ซอยรามอินทรา 34 ถ.รามอินทรา ปัจจุบันใช้ชื่อว่า โรงเรียนบ้านรามอินทรา เปิดทำการทุกวัน มีเด็กอยู่ในความดูแลปัจจุบัน 74 คน มีอัตราพี่เลี้ยงเด็ก 1 พี่เลี้ยงต่อเด็ก 4 คน บ้างวันที่เป็นวันหยุดของพี่เลี้ยงบางคน พี่เลี้ยงคนอื่น ๆ ก็ต้องรับดูแลเด็กมากสุดที่เคยก็คือ 1 ต่อ 7 แต่เหล่าอัศวินพี่เลี้ยงหัวใจอบอุ่น เปี่ยมด้วยเมตตานั้นมิเคยบ่น หรือย่อท้อ ดูแลฝึกหัดให้เด็กเหล่านี้ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ฟื้นฟูให้สามารถดำรงชีวิตประจำให้ได้มากที่สุด

การเดินทาง

แนะนำให้มาตามทางด่วนรามอินทรา อาจณรงค์ วิ่งตรงมาทางถ.รามอินทรา ผ่านปั๊มบางจาก มาสัก 200 เมตร จะเห็นซอยถนนอยู่เย็น และป้ายบอกทาง โรงเรียนบ้านเด็กตาบอดซ้ำซ้อน รามอินทรา 34 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป วิ่งตรงไปตามทาง จะเห็นโรงเรียนนานาชาติกีรพัฒน์อยู่ซ้าย ให้เตรียมเลี้ยวขวาทันที จะเห็นป้ายบอกทางบ้านเด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อน เลี้ยวเข้าซอยไป จะเจอะที่จอดรถ และมูลนิธิอยู่ หรือโทรไปสอบถามได้ที่เบอร์ 02-510-4895

การเดินทางไปครั้งนี้ พวกเราตั้งงบประมาณไว้ 2000 บาท ซื้อสินค้าที่จำเป็นไปให้ เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อเดตตอล,สบู่เดตตอล, ผงซักฟอกสำหรับซักเครื่อง, น้ำมันพืช, น้ำปลา, ซี้อิ้วขาว, น้ำยาซักฝ้าขาวไฮเตอร์, ยาแก้อักเสบแอมมอกซี่ 500 mg., นมเปรี้ยวขนาด 180 ml. เป็นต้น 

และทำการบริจาคเงินสดที่เหลือจากการซื้อสินค้า จนครบในงบ 2000 บาท หลังจากนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้นำพวกเราไปดูน้อง ๆ ที่ห้องกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นเด็กเล็ก ไม่สามารถยืน หรือเดินได้ ต้องมีพี่เลี้ยงในการทำกายภาพบำบัด หัดเดิน หัดยืนให้น้อง ๆ ซึ่งก็ต้องใช้ความพยายาม และความอดทนมาก ๆ เจ้าหน้าที่ยังเล่าให้ฟังว่า น้อง ๆ เหล่านี้ มีทั้งอยู่ประจำ และไปกลับ แล้วแต่เวลาของครอบครัว แต่ที่มูลนิธินี้ไม่มีคิดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการขอบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาทั้งหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังเล่าให้ฟังว่า บ้างครอบครัวเอาน้องมาทิ้งแล้วไม่มาอีกเลย ซึ่งทางมูลนิธิก็พยายามติดตามให้พ่อแม่หรือครอบครัวได้มาอบรมในการดูแลน้อง และเมื่อช่วงปิดเทอมก็จะให้น้อง ๆ กลับไปอยู่ที่บ้าน เพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ซึ่งนับว่าทางมูลนิธิพยายามสายสัมพันธ์ของน้อง ๆ กับครอบครัว และสังคมไว้อย่างเหนียวแน่น เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาสังคมในอนาคต

ทางมูลนิธิยัง รับอาสาสมัครที่มีจิตเมตตาเข้ารับการอบรม หรือมาช่วยดูแลน้อง ๆ เหล่านี้ ด้วยความรัก 

หากคุณปรารถนาจะช่วยเหลือพวกเขาเหล่านี้ เราขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันบริจาคทั้งสิ่งของ และเงินทองแม้เพียงเล็กน้อย คุณก็จะเป็นกำลังให้ทั้งกับเหล่าเจ้าหน้าที่ พี่เลี้ยง และน้อง ๆ ที่มูลนิธินี้ได้ค่ะ 

บ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน กรุงเทพมหานคร
มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
21/13 ซอย รามอินทรา 34แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10230
Tel. 0-2510-4895 , 0-2510-3625 Fax: 0-2943-6235
Website: http://www.cfbt.or.th/cfbtbkk/th/index_th.php
eMail: info@cfbtbkk.org
แผนที่ หากไปไม่ถูก