วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บริจาคเลือด กับภาวะโลหิตจาง

ณ วันที่ 29 ธ.ค. 53 วันนี้พวกเรานัดกันไปบริจาคโลหิตที่สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังค์ ตามกำหนดการที่่ต้องบริจาคเลือดทุก 3 เดือน เราออกเดินจากด้วยรถไฟฟ้า BTS ไปลงสถานีสยาม แล้วรถแท็กซี่ต่อไปยังสภากาชาด
เดินทางไปสภากาชาดไทยด้วย รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสยาม

วันนี้เป็นวันก่อนสิ้นปี 2553 คนมาบริจาคโลหิตเยอะมากที่สภากาชาดไทย ทำให้เรารู้สึกชื่นใจว่าคนไทยช่างมีน้ำใจ แต่ก็ดันไปได้ยินคนเขาคุยกันว่า มาบริจาคโลหิตก่อนไปต่างจังหวัด เอาเลือดออกก่อนแก้เคล็ดก่อนเดินทาง ....

โห.. อย่างนี้ก็มีด้วย (ยืมคำ พี่เป้มาใช้หน่อยนะค่ะ)

แต่ก็เอาน่ะ ชวนกันมาบริจาคโลหิตแบบนี้ ยังดีกว่าชวนกันไปแก้เคล็ดแปลก ๆ ให้เสียเงิน ทำให้คิดต่อไปอีกว่า แบบนี้ น่าจะสร้างกระแสนิยมในสังคม เช่น การบนเจ้าที่ แก้บนด้วยมาบริจาคโลหิต  การอธิบายขอสอบเข้า แก้บนด้วยมาบริจาคโลหิต เป็นต้น ท่าจะดีนะ... หรือ คุณคิดว่าไง

การบริจาคโลหิต ต้องรอคิวนานมาก ๆ เพราะคนเยอะ กดได้เบอร์ 163 (ไม่ได้ใบ้หวยนะ...) รอคิวอีก 124 คน โอ้..โห นานมาก เลยออกเดินไปมหาวิทยาลัยจุฬา ไปหากาแฟกินรอกันก่อน แต่ก็มีถามกันว่า ดื่มกาแฟ ก่อนบริจาคโลหิตได้หรือเปล่าเนี่ย ... คำตอบคือ ไม่รู้อ่ะ... แต่ก็ดื่มเถอะ มันรออีกนาน เลยนั่งชิว ๆ รอกันที่ร้านกาแฟ
คิวที่ 163 -164 ต้องรออีก 120 กว่าคน เลยมานั่งดื่มกาแฟ ที่ร้านกาแฟในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นั่งรอไปเกือบชั่วโมง จึงเดินกลับมายัง สภากาชาดไทย แวะเข้าห้องน้ำ ออกจากห้องน้ำมาอ้าวเลยคิว ซะงั้น เลยรีบวิ่งเข้าไปในห้องตรวจวัดความดัน และความหนาแน่นของเม็ดเลือด (ห้องเบอร์ 4)

คนก็เยอะเหมือนเดิม วัดความดันแล้ว ความดันต่ำไปนิด เจ้าหน้าที่บอกให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ 110/80 ต่อไปก็ไปรอคิววัดความหนาแน่นของเม็ดเลือด วันนี้เจ้าหน้าที่เจาะนิ้วเจ็บมากเลย ปวดตุ๊บ ๆ และผลปรากฏว่า เลือดไม่จมตัวในน้ำเกลือ เจ้าหน้าที่จึงขอดูดเลือดเพิ่มไปวัดในเครื่องวัดเม็ดเลือด ปรากฏว่า เม็ดเลือดต่ำ ผลแค่ 11.1 (ปกติควรจะ 12 - 18.0) แสดงว่าต่ำเกินไป
ผลความเข้มของโลหิตแค่ 11.1 mg/ml (ไม่ผ่าน) เรียกว่า โลหิตจาง

เจ้าหน้าที่จึงไม่ให้เราทำการบริจาคโลหิต และแจ้งให้ไปปรึกษาแพทย์ต่อที่ห้องเบอร์ 7-8 ก็เลยไปต่อคิวที่ห้องปรึกษาแพทย์ ไปถึงเจ้าหน้าที่ก็มาเจาะเลือดที่แขนไป 2 หลอด นำไปตรวจวัดเม็ดเลือดต่าง ๆ ด้วยเครื่องตรวจเม็ดเลือด
ผลการตรวจเลือดด้วยเครื่องตรวจนับเม็ดเลือด

ดูจากกราฟจุดที่ 1

กราฟขวามือ คือ ค่าปกติ
กราฟซ้ายมือ คือ ผล

ปรากฏว่า เม็ดเลือดต่ำกว่าค่าปกติ หรือ มีภาวะโลหิตจางนั่นเอง

กราฟอันถัดไป คือ ความหนาแน่นของชนิดเม็ดเลือดแดง พบว่ามีขนาดเม็ดเลือดแตกต่างกันถึง 4 ชนิด เรียกได้ว่า มีแนวโน้มเป็น พาหะของโรค ธาลัสซีเมีย 25% แล้ว

ค่าต่อไปมาดูที่ตาราง เม็ดเลือดต่าง ๆ
ค่า RBC คือ ค่าเม็ดเลือดแดง วัดได้แค่ 4.63 เทียบกับค่าปกติ อยู่ระหว่าง 4.20 - 6.3 ก็ค่อนข้างต่ำ

ค่า HGC ค่าความหนาแน่น ครั้งแรกตรวจได้ 11.1 ครั้งนี้ตรวจได้ 10.1 ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ๆ แสดงว่า โลหิตจาง

มาดุค่า ROW 18.9 คือ ค่าความแตกต่างของขนาดเม็ดเลือด ค่าปกติ อยู่ที่ 11.5 - 14.5 อันนี้สูงมาก แสดงว่าเป็นพาหะ ธาลัสซีเมีย

ซึ่งผลโดยรวม สรุปได้ว่า เป็นโรคโลหิตจาง และเป็นพาหะธาลัสซีเมียแน่นอน ซึ่งในคนไทยปกติจะเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียอยู่ประมาณร้อยละ 25 อยู่แล้ว

โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดงและสารฮีโมโกลบินในไขกระดูดไม่สมบูรณ์และอาจแตกสลายไปก่อนที่จะโตเต็มที ทำให้ผลิตเม็ดเลือดแดงและสารฮีโมโกลบินได้น้อยลง ส่งผลให้คนที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย มีอาการซีด เลือดจางเรื้อรัง มีภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น หัวใจล้มเหลว กระดูกพรุนบาง มีแผลเรื้อรัง ติดเชื้อได้ง่าย เป็นต้น

ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย  (พาหะ) ยังสามารถบริจาคโลหิตได้ แต่ต้องดูแลสุขภาพมากกว่าผู้บริจาคโลหิตทั่วไปหน่อย เพราะเรามีภาวะขาดธาตุเหล็ก หรือโลหิตจางเรื้อรังได้สูงอยู่แล้ว ดังนั้น
หันกลับมาดู ยาเสริมธาตุเหล็ก ที่หลังจากบริจาคโลหิต เจ้าหน้าที่จะให้มารับประทานอย่างน้อย 25 วัน (ต่อเนื่อง) สำหรับคนปกติอาจกินบ้างไม่กินบ้าง แล้วแต่สภาพร่างกายเขา แต่สำหรับเราที่เป็นโรคโลหิตจากธาลัสซีเมีย ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องให้หมด แล้วดูแลบำรุงร่างกายให้ดี จึงจะไปบริจาคโลหิตได้อีกครั้งใน 3 เดือนข้างหน้า

 คราวนี้เรามาดูผลกระทบบางประการของการขาดธาตุเหล็กวันบางนะว่ามีอาการอย่างไรบ้าง
(The Symptoms of Iron Deficiency Anemia)
  1. สีผิวซีด เหลืองซีด
  2. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  3. ขุ่นเคือง รำคาญ หงุดหงิด
  4. วิงเวียนศีรษะ
  5. อ่อนแอ ไม่แข็งแรง
  6. แสบลิ้น เจ็บลิ้น
  7. เล็บแห้ง เปราะง่าย
  8. หายใจขัด หายใจไม่เต็มอิ่ม
  9. เบื่ออาหาร กินได้น้อย
  10. ปวดศีรษะบริเวณหน้าผาก
  11. ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
  12. ผมร่วงมากกว่าปกติ
  13. ไวต่อความเย็น มือเท้า เย็นกว่าคนอื่น ๆ
  14. การรับรู้ ความสนใจในสถานการณ์ รวมทั้งความจำเสื่อมไป
  15. ความเข้าใจ ความนึกคิด สติปัญญา เสียหรือด้อยไป
โห... เป็นไงค่ะ อ่านแล้ว เริ่มรู้สึกว่าเราก็มีอาการแบบนี้ หลายข้อจริง ๆ ช่วงนี้คงโลหิตจางแท้แน่นอน

คุณหมอ อธิบายผลให้ฟังอย่างละเอียด พร้อมทั้งสั่งสอน (เทศน์ ไปอีกหลายยก) ก็นานเป็นชั่วโมง จากนั้น ก็เลยให้ยามาทานทั้งหมด 3 ชนิด คือ ยาเสริมธาตุเหล็ก ยาวิตามินบีรวม ยาเสริมกรดโฟลิก และยังแถมอาหารเสริมข้าวกล้องงอกมาให้อีก แบบว่า ครบถ้วนสารอาหาร ทั้งกรดอะมิโน วิตามิน และเกลือแร่ เลยค่ะ

ครั้งนั้น ต้องขอขอบพระคุณ ทางคุณหมอ และเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย ที่ห่วงใย และใส่ใจกับผู้มาบริจาคโลหิตอย่างแท้จริง

ทุกอย่างตรวจฟรี ยาฟรีค่ะ แถมคุณหมอบอกว่า เมื่อทานยาครบ 25 วันแล้ว ให้กลับมาตรวจเลือดอีกครั้ง (และแน่นอนว่าไม่มีค่าใช้จ่ายครั้ง) แล้วไว้จะมาเล่าความคืบหน้าให้ฟังใหม่นะค่ะ บาย... แล้วพบกันใหม่ค่ะ



ปล. เราเองก็เสียความรู้สึกนิดหน่อยว่า อะไรเนี่ย ออกจะแข็งแรง ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียด้วย เซ็งอ่ะเนี่ย.....

ไม่มีความคิดเห็น: