วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

ธุดงค์กรรมฐานครั้งที่ ๒

ธุดงค์กรรมฐานครั้งที่ ๒

พระอาจารย์ครรชิต อภิญจโน วิทยากร

ณ อาศรมมาตา

ธรรมสาวิกา 21 ท่าน

กิจกรรมโดยสรุป ถือศีลแปด, ทำวัตรเช้า เย็น, นอนกลด, ฟังธรรม, ปฏิบัติธรรม, เดินจงกลม, เดินธุดงค์ข้ามเขาหลวงไปวัดปอแดง

(ชิตังเม ขอความเป็นผู้ชนะกิเลสจงมีแด่พุทธสาวิกาทุกท่าน)

จากบทกลอนหนึ่ง ในอาศรมมาตา เขียนไว้ว่า นักปฏิบัติธรรมหญิง ห่วง กิน และ กลัว นักปฏิบัติธรรมชาย ห่วง กาม และเกรียติ อ่านแล้วพึงตระหนักในความจริงข้อนี้จริง ๆ แต่เหล่านักรบสาวิการุ่นนี้ ได้ตอบโจทย์ของ การตัดสิ้น ความห่วง บ่วงทั้งสองนี้สิ้น ทั้งกิน ไม่ห่วง ทั้ง กลัว ไม่หวั่น ช่างน่าประทับใจจริง ๆ ค่ะ






งานครั้งนี้ ตู๋ไม่ได้เข้าร่วมแต่แรก แต่มีโอกาสได้เดินทางไปเก็บภาพบรรยากาศในวันที่ ๓ ของการเข้ากรรมฐานครั้งนี้ ของเหล่านักรบสาวิกา รุ่น ๒ ซึ่งได้สัมผัสกับความตั้งใจของพี่ ๆ ทุกท่าน สร้างความประทับใจให้มาก ๆ เลยค่ะ

ความตั้งใจ ความอดทน ความเสียสละเวลา เพื่อมาแสวงหาตัวตน เรียนรู้ธรรมะ ความมีสติ ทำให้งานนี้ ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

สนใจติดต่ออาศรมมาตาได้ที่

คุณไก่ 081-9135931
คุณจิ๋ว 089-1244334

ตารางปฏิบัติธรรม ประจำปี 2561




บทความเก่า ธุดงค์กรรมฐานครั้งที่ ๑

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำงานกับไทยแอดพอยด์ เวปคนไทย


ทำอย่างไรให้ได้เงินเดือนละมากๆ
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-02-06 23:01:17


เริ่มจากทำความเข้าใจก่อนว่า ไม่มีใครเอาเงินมาให้คุณฟรีๆ นะครับ คำว่า Pay-per-Performance , Pay-per-Result ที่ไทยแอดพอยท์ใช้มาตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา คือรูปแบบการโฆษณาแบบหนึ่งที่ผู้ลงโฆษณาจ่ายค่าโฆษณาเมื่อเกิดผลลัพธ์ที่เขาต้องการ ส่วนคุณก็ได้เงินตามจำนวนรายการที่เกิดขึ้น ใครทำมากก็ได้มาก ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย

ผู้ลงโฆษณาในไทยแอดพอยท์แต่ละรายจะกำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการไว้ มีตั้งแต่ง่ายมากคือแคค่คลิ๊กป้าย/ลิงค์โฆษณาของเขา เพื่อไปรับทราบข้อมูล เรื่องราวต่างๆ ที่เขาต้องการจะบอกคุณเขาก็จ่ายเงินให้แล้ว, หรือแค่กรอกแบบฟอร์มสั้นๆ เพื่อให้ข้อมูลให้เขาติดต่อกลับไป ไปจนถึงกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ซับซ้อนขึ้น ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่า ผลตอบแทนของแต่ละรายไม่เท่ากันครับ ถ้ามันง่าย ผลตอบแทนก็ต่ำ ถ้ามันซับซ้อน หรือมีเงื่อนไขเขาก็จะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทุกอย่างมีระบุไว้ชัดเจน ทั้งในส่วนของผู้ลงโฆษณาและส่วนของคนเล่นเน็ต

มาถึงว่าทำอย่างไรให้ได้เงิน ตอบสั้นๆ คือ ตอบรับข้อเสนอของผู้ลงโฆษณา ทำให้มันเกิดผลลัพธ์ที่เขากำหนด เขาต้องการ คุณก็ได้ผลตอบแทนตามที่เขาระบุ หรือที่ไทยแอดพอยท์เรียกมันว่า การร่วมกิจกรรม ครับ
ผมยกตัวอย่างให้ชัดเจนขึ้นนะครับ เอาข้อเสนอเดียวจากมายเซอร์เวย์ ไทยแลนด์นะครับ (ในระบบมีข้อเสนอมากกว่า 40 รายการให้คุณเลือก)
  • มายเซอร์เวย์ เป็นบริษัทวิจัยตลาด เขากำหนดผลลัพธ์คือ มีคนสมัครเป็นสมาชิกเวปไซต์ของเขา ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
  • เขากำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ ผู้สมัครต้องมีอายุระหว่าง 15-19 ปี หรือ 32-39 ปี
  • กำหนดผลตอบแทนต่อรายการคือ 24 บาท - (PPL 24 บาท/lead)
  • ไม่จำกัดรายการต่อเดือน
คุณร่วมกิจกรรมเองได้ 1 ครั้ง ถ้าคุณมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่เขากำหนด คุณก็ได้เงิน 24 บาท คุณมีเพื่อนที่มีคุณสมบัติสัก 10 คน คุณก็ส่งลิงค์กิจกรรม ในหน้ารีวิวของมายเซอร์เวย์ ให้เพื่อนๆ คุณร่วมกิจกรรม คุณก็ได้อีกรายละ 24 บาท รวมเป็น 264 บาทแล้ว กติกาข้อเดียวคือ อย่าโกงผู้ลงโฆษณา 1 คนร่วมกิจกรรมได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น

นอกจากนั้นคุณยังสามารถนำลิงค์กิจกรรมข้างต้น ไปติดไว้ตามเวปไซต์ ตามเวปบล๊อก ตามเวปบอร์ดต่างๆ หรือไปลงโฆษณาที่เวปอื่นๆ หากมีคนคลิ๊กไปร่วมกิจกรรม คุณก็ได้เงินรายละ 24 บาทเช่นกัน เห็นมั๊ยครับว่า มันไม่มีขีดจำกัด คุณจะหาคนมาร่วมกิจกรรมกับเขากี่ราย ผู้ลงโฆษณาเขาก็จ่าย หาได้ 1,000 คนก็ได้ 24,000 บาท หาได้ 10,000 คน ก็ได้ 240,000 บาท
ผมเคยสอบถามกับเพื่อนสมาชิกที่เขามีรายได้เดือนละมากๆ รายหนึ่ง เขาว่าเขาไปลงโฆษณาแบบคงที่รายเดือนตามเวปอื่นๆ เดือนละ 3-400 บาท อยู่ 2 เวป แต่มีคนร่วมกิจกรรมให้เขาเดือนหนึ่งร้อยกว่าคน ได้ไปเดือนละ 4-5000 บาท หรืออีกรายที่ไม่ลงทุนเลย ลงแรงอย่างเดียว นั่งคุยกับเพื่อนๆ ทาง MSN แล้วก็ส่งลิงค์ให้เพื่อนๆ บอกเพื่อนๆ ให้ช่วยร่วมกิจกรรม

นี่กิจกรรมแค่ตัวเดียวนะครับ ณ วันที่ผมเขียนบทความตัวนี้ มีกิจกรรมในระบบ 45 รายการ รวมเป็นเงิน 6,580.10 บาท ถ้าคุณร่วมกิจกรรมได้ทุกรายการ ร่วมเองคนเดียวก็ยังได้ 6,580.10 บาท ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่จะทำได้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่า คุณไม่อยากทำ และ/หรือ คุณไม่มีคุณสมบัติตามที่ผู้ลงโฆษณากำหนด

นอกจากคุณจะส่งลิงค์ หรือติดลิงค์แบบเดี่ยวแล้ว ไทยแอดพอยท์ ยังมีส่วนของ หน่วยโฆษณา ทั้งแบบเจาะจง และไม่เจาะจงผู้ลงโฆษณาให้คุณได้เลือกใช้ นำไปติดในเวป ในบล๊อกของคุณ เพื่อสร้างรายได้ให้คุณอีกด้วย

สนใจสมัครเลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

@เชียงใหม่

เชียงใหม่ หรือ อาณาจักรล้านนา


บรรยากาศเชียงใหม่ วันนี้ เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ให้คุณแวะไปเยี่ยมเยียน จากที่แวะไปรับประทานมาหลาย ๆ ร้าน ประทับใจ กาแฟร้าน iberry อร่อยมาก ขนมก็อร่อย สรุปไปกินทุกวัน จนอ้วนขึ้นมา 2 กิโล ก่อนกลับ อีกร้านที่แนะนำ คือ เวียงจูมออน ที เฮาล์ เป็นร้านที่บรรยากาศดีมาก ๆ นั่งชิว ๆ ได้ทั้งวัน ชาสมุนไพรหอม ดื่มด่ำมาก ๆ อยากบอกว่าไปแล้ว นั่งเพลิดจนเย็นเลยแหละ อีกร้านถัดมา คือ Miss Chocolate เค็กอร่อยมาก กินแล้ว อยากกินอีก แบบว่าลืมอ้วนเลยแหละ จริง ๆ นะ
แถมร้านค้าโบราณ ไข่ป่ามลุงอิน ถนนคนเดินมาให้อีกนิด ไปเชียงใหม่แล้ว ทานแต่เค็ก กาแฟ ชา ลืมขนมพื้นบ้าน ไข่ป่ามได้ไง เลยไปชิม เจ้าเนี่ย อร่อยจริง ๆ นะ รับประกัน ฟันธง...

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

หนังสือเรื่องเล่าจาวกาด

สวัสดียามเย็น ณ ร้าน Miss Chocolate เชียงใหม่ เวียงจูมออน วันนี้อากาศดี ร้อนนิดหน่อย ได้เวลาเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งทานกาแฟเย็น ขนมเค็กรสชอกโกแลต ที่ร้านสุดฮิบ แนวสบาย ๆ แบบล้านนา

ร้านนี้เค็กอร่อย หอมมัน เหมาะสำหรับคนชอบ Chocolate จริง ๆ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ wifi free อ่านหนังสือฟรี อากาศบริสุทธิ์ ฟรี กับวันฟรี ๆ ของเรา

เลี้ยวหันไปเห็นหนังสือชื่อ "เรื่องเล่าจาวกาด" น่าสนใจรูปเล่มน่ารักดี เลยเดินไปหยิบมาอ่านสักหน่อย เปิดดู เป็นเรื่องเล่าของชาวเชียงใหม่ จาวกาด หรือชาวตลาด ชาวบ้านเชียงใหม่ เนี่ยแหละ ซึ่งมีทั้งชาวเชื้อสาย ไทย จีน  เราเลือกหนังสือ เรื่องเล่าจาวกาด เล่ม ๔ มาอ่าน เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพร ยา และสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชื่นชอบ และสนใจอยู่แล้ว เลยได้เกร็ด เล็ก ๆ มาเล่า ให้เพื่อน ๆ ฟัง ดังนี้

สมุนไพรพื้นบ้าน หญ้าเอ็นยึด ซึ่งเป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไป มีสรรพคุณในการแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ด้วย หรือถ้ามีอาการปัสสาวะไม่ออกก็สามารถนำเอาหญ้าเอ็นยึดมาต้มกินได้ หาได้ง่ายที่สนามข้างป่าละเมาะมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือก็คือพืชผักชนิดหนึ่งที่ชาวเชียงใหม่นิยมปลูกนำมากินกับลาบนั้นเอง ไม่น่าเชื่อค่ะ งานนี้ต้องหารูปมาดูกันว่าลักษณะเป็นแบบไหน

แล้วยังมีเรื่องเล่าสำหรับคนเป็นนิ่วอีกค่ะ คนที่เชียงใหม่โบราณ เขาใช้ ดอกบานไม่รู้โรยดอกขาว มาต้มกิน ช่วยในการขับนิ่ว ขับปัสสาวะ

เชียงใหม่ยังมีสมุนไพรอีกมากมาย ไม่น่าเชื่อเลย เราคนไทย เด็กรุ่นใหม่ ไม่ค่อยรู้จักหรอกค่ะ สมุนไพรสมัยนี้ รู้จักแต่สมุนไพรที่นำมาทำชาดื่ม ก็มีไม่กี่ตัว เช่น ชาอัญชัน ชาดอกมะลิ ชาใบหม่อน ชาเขียว ชาเจียวกู้หลาน เป็นต้น

พออ่านก็เริ่มสนใจเรื่องสมุนไพรขึ้นมาทันที ในหนังสือก็มีแนะนำร้านสมุนไพรจีนโบราณ ที่อยู่คู่กับเมืองเชียงใหม่มานานหลายร้อยปี คือ ร้านขายยาจีนของซินแซตั้งฮกเซี้ยง ที่อยู่หน้ากาดหลวง ซินแซแกใช้วิธีการตรวจแบบ การแมะ จับชีพจร แล้วก็สั่งยา เราก็ขับรถไป แถวนั้นรถติดมาก ไปเรียบ ๆ เคียง ๆ ดู ร้านแกเก่า และแกเองก็แก่จริง ๆ นะ

เล่าพอหอมปากหอมคอนะค่ะ เอาเป็นว่า หากได้มีเวลามาแอ๋วเชียงใหม่ แวะไปหาหนังสือ เรื่องเล่าจาวกาด มาเปิดอ่านกันบ้างนะค่ะ หรือ อยากชิว ๆ เชิญมาแวะชิมเค็กชอกโกแลต อันหอมหวาน @ Miss Chocolate นะจ้าว........งงง

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

9 เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ

1.จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

สายเกินไป

คงไม่สายเกินไป หากจะส่งข้อความนี้ให้ทุกๆคนได้อ่าน



อยากให้ทุกคนได้อ่านและตระหนักถึงความสำคัญของ “เธอ”

ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป เรียน เที่ยว นอน กิน ดึกๆ ผมก็โทรคุยกับแฟนของผม ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม และผมก็เชื่อว่าใครๆ เค้าก็ทำแบบนี้กัน

' จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง '
' กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย '
' รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง '
' ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ '

ประโยคต่างๆ ที่ผมได้คิดและคัดสรรเตรียมพร้อมมาต่างๆ ก่อนโทร ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์ ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน

เอ้อ! เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ

แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน
‘’ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง’’

‘’เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง’’

‘’อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ’’

โธ่! คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ
แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ
โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง


จนกระทั่งวันนั้น

' ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่า รักเค้ามั้ย '

' เร็วๆสิ เค้ายังอุตส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ '

' แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ '

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน
ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า 'Home'

' โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย '

ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ

' และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่ '

หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า
เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน
และได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ญาติของผมเล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น
และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจ
หรือเรียกรถพยาบาล

แต่แม่เลือกที่จะโทรหา ' ผม '
สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม


ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต
ผู้หญิงคนเดียวที่ผม สามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา
โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่ ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ
คนเดียวในโลก ที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ
คนเดียวในโลก ที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม
' และ คนเดียวในโลก ที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต '
ในบางครั้งประโยคที่ว่า ' ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว ' มันก็ไม่เป็นความจริง ' เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว ' อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆ ชั่วโมงก็ทิ้งผมไป
วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น หลายๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเราเอง


' เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป '


ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์ รอที่จะตอบคำถามเดิมๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว

' ในเมื่อเรามีความรักอันเต็มเปี่ยมจากครอบครัว
แล้วทำไมต้องไปขอเศษเสี้ยวจากใคร '