วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

OPEN WATER DIVER EXPERIENCE AT TAO ISLAND

สวัสดีกันอีกครั้ง วันนี้ตู๋จะเล่าประสบการณ์ที่ไปเรียนดำน้ำแบบ SCUBA คอร์ส O.W.D. หรือ Open Water Diver ที่เกาะเต่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันสักนิด เพื่อใครสนใจอยากไป หรือจะชวนไปดำน้ำ Fun Dive ก็ยินดีอยากได้เพื่อนใหม่เสมอนะค่ะ การเรียนดำน้ำที่เกาะเต่าคราวนี้ ได้ไปเรียนในหลักสูตร SSI ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ประหยัดราคาถูกกว่าหลักสูตร PADI แต่เนื้อหา การเรียน การสอน เหมือนกันหมดนะ (แอบลองดูแบบเรียน และลองทดลองหาข้อมูลมาแล้ว confirm จ้า หากใครยังสงสัยก็สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Dive Master ของแต่ละสถาบันได้จ้า) สำหรับคนติดแบรดน์ ก็ต้องเลือก PADI ส่วนคนไม่ยึดติด และต้องการประหยัดกระเป๋าก็เลือก SSI (จากที่คุยกับ Dive Master ของทั้งสองที่ แนะนำไว้ว่า สำหรับคอร์ส Open กับ Advance ให้เลือกของ SSI ส่วนหลักสูตรขั้นสูงต่อไป ก็ย้ายมาเรียนของ PADI ก็จะโอเคจ้า.... ปรับเปลี่ยน สลับกันได้)

การเรียนดำน้ำหลักสูตร OPEN WATER DIVER ซึ่งต่อไปเราขอเรียกว่า Open หรือ OWD นะ จะได้เขียนสั้น ๆ หน่อย (เป็นอันเข้าใจกันนะค่ะ) เป็นหลักสูตรเริ่มต้นของคนที่สนใจจะเรียนดำน้ำ อยากได้รับประสบการณ์ชีวิตโลกใต้น้ำ Underwater Life ซึ่งเป็นอีกโลกหนึ่งที่สวยงามมาก ๆ ครูหมี (Dive Instructor) หนุ่มหล่อ คมเข้ม ที่สอนเรานั้น บอกไว้ว่า โลกประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำมากกว่าพื้นดิน โดยมีพื้นน้ำถึง 70% เป็นพื้นแผ่นดินเพียง 30% เท่านั้น และเชื่อไหมค่ะว่า พืชใต้น้ำก็สามารถผลิตอ๊อกซิเจนได้มากกว่าพืชบนบกถึง 10% ทีเดียว ดังนั้น การอนุรักษ์สิ่งมีชีวิต พืช และสัตว์ใต้น้ำจึงเป็นการอนุรักษ์ที่สำคัญมากที่เดียว ซึ่งหากจะบรรยายไปมากกว่านี้ จะออกนอกเรื่องไปถึงเรื่องการปลุกเลือดรักษ์สิ่งแวดล้อมกันเกินไป จึงขอหยุดไว้ตรงนี้ก่อน จะกลับไปเล่าถึง เรื่องราวเริ่มต้นการเดินทางมาเรียนดำน้ำที่เกาะเต่ากันก่อน ตั้งแต่การตัดสินใจจองเรียนดำน้ำที่เกาะเต่าเลยแหละ.........มะ...ย้อนเวลากลับไป เมื่อปีที่แล้วในงาน TDEX งานนิทรรศการที่นักผจญภัย นักเดินป่า นักดำน้ำต้องไป........
  ณ งาน TDEX ปี 2010 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต สองสาว สวย แบบเซอร์ ๆ มาเดินเที่ยวงานนี้เพื่อจะซื้ออุปกรณ์เดินป่า และหาที่เที่ยวใหม่ ๆ เดินไปดูกล้องถ่ายใต้น้ำ อยากดำน้ำ ไปเรียนดำน้ำกับเถอะ... อยู่ดี ๆ ก็ชวนกันไปหาแพ็กเกจเรียนดำน้ำดีกว่า ระหว่างเลือกว่าจะไปเรียนที่ไหน ก็คุยกันว่า ระหว่าง กรุงเทพ กับเกาะเต่า ไปเรียนที่ไหนดี ถกกันไปมาว่า เรียนที่กรุงเทพ เรียนในสระว่ายน้ำ ไม่ได้บรรยากาศเหมือนที่ เรียนในทะเลนะ แต่เรียนในทะเล ก็มีเวลาน้อย ถ้าทำไม่ได้ ไม่ผ่านแล้วทำยังไงดี แล้วมีคลื่นลม จะไหวไหมเนี่ย แล้วราคาแต่ละที่ต่างกันอย่างไร ก็สรุปให้เพื่อน ๆ ฟังแบบคราว ๆ ดังนี้


เรียนดำน้ำที่กรุงเทพ ราคาอยู่ในช่วง 7000 - 15000 บาท 1. เรียนตอนเย็น หรือวันเสาร อาทิตย์ ที่สระว่ายน้ำ 4 ครั้ง (หรือแล้วแต่หลักสูตร เลยไม่ชอบ เพราะขี้เกียจเดินทางไปเรียนบ่อย ๆ ไกลบ้าน แล้วต้องฝ่ารถติดกลับบ้านอีก) 2. ต้องจ่ายเงินเพิ่มค่าไปทริปที่ทะเล ค่าเดินทาง และค่าที่พักเพิ่ม อีก เท่ากับเสียสองต่อ (เราไม่ชอบเพราะคิดไม่รอบคอบ) 3. ดีตรง สามารถมาเพิ่มเติมทักษะ หรือทวนทักษะได้ง่าย (จ่ายเพิ่มแต่ค่าเช่าอุปกรณ์)

เรียนดำน้ำ ที่เกาะเต่า ราคาอยู่ในช่วง 8000 - 20000 บาท 1. เรียนในทะเลจริง ได้บรรยากาศ คลื่นลม ความเค็ม ความตื่นเต้น การเมาเรือ ภาวะขาดน้ำ เป็นต้น เรียกว่าสถานะการณ์จริง ๆ ตลอดเวลาที่เรียน 2. เรียนเสร็จกินอาหารอร่อย นอนไม่ไกล ไม่ต้องเดินทาง รถติด เหนื่อยแล้วพัก บรรยากาศดี 3. เกาะเต่า เป็นที่ผลิตนักดำน้ำชั้นนำของโลก แสดงว่าต้องดีจริง จบจากที่นี้ต้องเท่มาก ๆ อ่ะ 4. ไม่ดีตรง เวลาเรียนจำกัด ต้องตั้งใจเรียน ทำจริง ไม่เล่น เพราะต้องเป็นให้ได้ในเวลาที่จำกัด และเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย

ต่เหตุผลหลักของเราจริง ๆ  คือ อยากไปเที่ยว เกาะเต่าอีกครั้งอ่ะนะ คนเรา แหะ ๆ สรุปก็เลยตกลงกันว่าจะไปเรียนดำน้ำที่เกาะเต่า คราวนี้ก็มาถึงคิวการเลือกโรงเรียนสอนดำน้ำที่เกาะเต่า โรงเรียนไหนดีหนอ โรงเรียนไหนน่าไป คิดหนักเลยล่ะ ที่นี่ ก็เลยเก็บใบปลิว โปรโมชั่น กลับบ้านไปนอนคิดอีกสักคืน และเปิดเวปไซด์เลือกดู location ที่พัก อีกที เพื่อความมั่นใจ ก็ยังสรุปไม่ได้อีก เลยต้องกลับไปที่งาน TDEX อีกครั้ง ได้ไปคุยกับสองสามแห่งที่สอนดำน้ำที่เกาะเต่า ก็คุยถูกใจกับครู และได้เห็นครูสอนดำน้ำตัวดำ ๆ ที่ชื่อ ครูหมี ก็จำได้แต่ตัวโต ๆ ดำ ๆ ไม่คิดว่า จะเป็นครูผู้ฝึกสอนเราดำน้ำในวันนี้ (อิอิ บุพเพ อาละวาด....) เมื่อคุยถูกใจ ถูกคอ กับครู ก็ต้องจองที่ดำน้ำที่นี้ ณ Sairee Cottage Diving นั้นเอง.... ตอนจองเรียนดำน้ำ ถามครูไว้ว่า ต้องเตรียมพร้อมร่างกายอย่างไร ครูบอกว่า ออกกำลังกายหน่อย จะได้มีแรงแบกถังอากาศ เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง ฟิตร่างกายให้แข็งแรง ก็โอเค ระหว่างปีนั้น ทำให้พวกเราขยันไปฟิตเนส ออกกำลังกาย เพื่อเตรียมพร้อมเหมือนกัน และสักพัก ก็ขี้เกียจเหมือนเดิม  (ไม่เอาแหละ ออกนอกเรื่องไปอีกแล้ว กลับมาสู่ ณ ปัจจุบัน) เราย้อนเวลากลับไปให้รู้ว่า เราจองเรียนดำน้ำได้อย่างไรแล้วนะ ดังนั้น เรามาว่ากันต่อเรื่องของเราเกี่ยวกับการเรียนดำน้ำที่เกาะเต่ากันดีกว่า

  สำหรับการเรียนดำน้ำ OPEN WATER DIVER ของเราเรียนทั้งหมด 4 วัน ดังนี้


วันแรก ช่วงบ่าย เรียน ทฤษฎีเกี่ยวกับเป็นความรู้เบื้องต้นของการดำน้ำ บทที่ 1 -3 พวกเราอ่านหนังสือจากคู่มือภาษาไทยครั้งแรก กลุ่มแรก ที่มีคู่มือนี้ ทำให้ง่ายสำหรับการเรียนการสอน ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น งานนี้ อาจารย์หมี หรือครูหมี (น้ำ) (Dive Instructorของพวกเรา ให้พวกเราพักสบาย ๆ เอาหนังสือไปอ่านเองก็ได้ มีอะไรไม่เข้าใจก็มาถาม แล้วให้ทำแบบฝึกหัดบทที่ 1 -3 พวกเราทำกันบ่ายนั้น เหลือทำไม่ได้แค่ 2 ข้อเอง เก่งจริง ๆ คนอะไร อิอิ...ชมตัวเอง ข้อที่ทำไม่ได้ ก็คือ การดูตารางแบ่งกรุ๊ปดำน้ำ และการคำนวณค่าไนโตรเจนที่เหลือ หรือเวลาสูงสุดในการดำน้ำณที่ความลึกนั้น ๆ (ประมาณนั้นแหละ เป็นข้อที่สำคัญเชี่ยว)
 หนังสือคู่มือการเรียนดำน้ำขึ้นพื้นฐาน OPEN WATER DIVER เป็นหนังสือภาษาไทย ฉบับแรกที่มีการจัดพิมพ์ขึ้น ของสถาบันสอนดำน้ำ SSI และเราสองคน ก็เป็นนักเรียนสองคนแรก ของ Sairee Cottage Diver ที่ได้เรียนด้วยหนังสือเล่มนี้ (อยากได้มาครอบครอง แต่มิได้มีจำหน่าย หรือขาย อาจารย์หมี ให้ไปโหลดเองในเวปไซด์จอง SSI โห....ใจร้ายอ่ะ อาจารย์อ่ะ ....... วัยรุ่น เซ็ง.....)
พวกเราเริ่มเรียนกันด้วย การลงทะเบียนในเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ การทำแบบสอบถามสุขภาพ (เป็นกฏหมาย และข้อบังคับ ที่นักดำน้ำทุกคนต้องทำตลอดที่จะไปดำน้ำ ไม่ว่าทริปใดก็ตาม เขาจะให้กรอกแบบสอบถามสุขภาพเสมอ เพื่อความปลอดภัย..... ครูหมี เริ่มต้นอธิบายถึงรายละเอียดของการเรียนการสอน กำหนดการคราว ๆ ในแต่ละวัน ดังนี้ วันแรก เริ่มต้นภาคบ่าย เรียนทฤษฏี เบื้องต้นของการดำน้ำ ชื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำน้ำ เป็นต้น


วันที่สอง ภาคเช้า เรียนทฤษฏี และแนะนำอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการดำน้ำ หัด set อุปกรณ์ ตื่นเต้นมากเลย ทำผิดทำถูกด้วย ภาคบ่าย ลงดำน้ำ 1 Dive เพื่อฝึก ทักษะต่าง ๆ เช่น การสื่อสารใต้น้ำ การเคลียร์หู การเคลียร์น้ำเข้าหน้ากาก การถอดเร็กกูเรเตอร์ใต้น้ำ การช่วยเพื่อน และอื่น ๆ วันที่สาม ภาคเช้า เรียนทฤษฏี และการคำนวนค่าต่าง ๆ เพื่อใช้ในการทำ Dive Profile ภาคบ่าย ลงดำน้ำ 2 Dive ที่ความลึก สูงสุด 12 m และเรียนการลอยตัวด้วยการใช้ปอด


วันที่สี่ เป็นการฝึก dive 2 Dive ที่ความลึกสูงสุด 18 m และจบการศึกษา โดย Dive แรก ลงไปลึกสุด และทำ Activity ต่าง ๆ เช่น ตีกังกาในน้ำ ถอด fin เป็นต้น Dive สองเป็นการชมธรรมชาติ ดูประการัง ดูปลา สำรวจใต้ทะเลในความลึกไม่เกิน 18 m สนุกมากเลย ไว้จะเล่าให้ฟังต่อไป และก็จบด้วยการลงข้อมูลใน Dive Log ของเราเอง และส่งมอบบัตรประจำตัวนักดำน้ำระดับ OWD อิอิ... รู้โปรแกรมกันคราว ๆ แล้ว ต่อไปจะเล่าถึงกิจกรรม และบรรยากาศในแต่ละวันให้ฟังกันนะค่ะ วันแรก หลังจากเดินทางเข้าสู่ที่พัก รายงานตัว check in อาบน้ำ กินข้าว ก็ลงทะเบียน ข้อมูลส่วนตัว และตอบคำถามสุขภาพสำหรับนักดำน้ำ อาจารย์อธิบายรายละเอียดของคอร์ส และให้หนังสือคู่มือไปอ่าน เราเอาหนังสือไปอ่าน และกินเค็กช็อกโกแล็ต ที่ร้าน Blue Wind Resort เป็นขนมโฮมเมดแบบฝรั่ง รสชาดก็แบบฝรั่ง บรรยากาศของร้านติดทะเล นั่งสบาย ๆ แบบขันโตกทางเหนือบ้านเรา สำหรับการเรียน การสอนวันแรก ไม่มีอะไร เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองจากการอ่าน และทำแบบฝึกหัด จะเห็นได้จากภาพว่า สองเรา ชิว ๆ สบาย ๆ กันแค่ไหน .................


วันสุดท้าย วันที่สี่ วันนี้แต่เดิมมีกำหนดดำน้ำ 2 Dive รอบเช้า แต่เปลี่ยนมาเป็นรอบบ่ายแทน (มีเหตุผล แต่ไม่เล่าอ่ะ) วันนี้มีเวลาเหลือเฟือ เลยตื่นสายวันหนึ่ง กว่าจะลุกจากที่นอนก็ 7.00 น. ตื่นมาออกไปเดินเล่น ที่ชายหาด โดยวันนี้มุ่งไปที่ต้นหาดทรายรี พบว่า มีอนุสาวรีย์เสด็จเตี่ย ร.5 อยู่ และมีร้านค้าน่าสนใจอีกมากมาย แวะถ่ายรูปมาให้ชมกันด้วย.... ไปชมกันนะค่ะ
หากคุณไปเที่ยว คุณรู้ไหมว่า ช่วงเวลายามเช้า มีอะไรให้คุณได้พบเห็นมากกว่าที่คิด ได้เห็นธรรมชาติ และความงามที่สดชื่น มาค้นหามากมาย..... (คราวหน้าไปเที่ยวที่ไหน ก็อย่าลืมตื่นเช้าหน่อยนะค่ะ)
หลังจากนั้น ก็กลับมาที่บ้านพัก บัดดี้เราตื่นแล้ว ไม่ต้องปลุก ....เย้..... หลังจากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัว ไปกินข้าวเช้ากัน หิวแล้วอ่ะ.... อาหารเช้าที่เดิม Wind Resort เมนูเดิมด้วย ไม่เล่าและ หลังจากนั้นก็เดินเล่น ถ่ายรูป และกลับมาอาบน้ำเตรียมตัว ไปดำน้ำ 2 Dive สุดท้าย ก่อนเรียนจบ ที่ความลึก 18 m จ้า....
11.00 น. อาจารย์หมี ให้ไปกินข้าวให้เรียบร้อย ก็กินข้าวผัดเหมือนเดิม 2 คน 1 จาน จะได้ไม่อิ่มเกินไป แล้วก็ไปเอากระเป๋าอุปกรณ์ ตรวจสอบอุปกรณ์ wet suit, fin, BC ครบ ออกเดินทางไปขึ้นเรือได้เลย......
หลังจากขึ้นเรือ ครูหมี ก็มีของเล่นมาให้ Surprise กัน คือ นาฬิกาเข็มทิศ ครูหมีบอกว่า วันนี้จะเรียนการใช้เข็มทิศ และให้เราทำทักษะเกี่ยวกับเข็มทิศ และมีการทำกิจกรรมสนุก ๆ เช่น ตีลังกา ถอดฟินใต้น้ำ เป็นต้น    ส่วน Dive สุดท้าย จะพาเราไปดำน้ำเล่น ดูชีวิตใต้ทะเล ดูปลาการ์ตูน ปลาวัว และอื่น ๆ วันนี้ต้องสนุกแน่ ๆ อาจารย์บอก สบาย ๆ สนุก ๆ วันนี้ ทำเอาเราสองคนดีใจ ตื่นเต้น เพราะวันนี้จะลงดำน้ำที่ความลึกสูงสุดคือ 18 m เย้.... ตื่นเต้น วันนี้เราเอาวีดีโอมาถ่ายด้วย ยังไง รอดูนะ บัดดี้กำลังตัดต่ออยู่ รอนานหน่อย เพราะของดี ต้องรอนาน ๆ ให้มีค่าหน่อย 555555..........
มาชมบรรยากาศวันสุดท้าย ก่อนลงดำน้ำกัน
เริ่มต้น Dive แรกวันสุดท้ายด้วยการดำที่ Japanese Garden 10 m นาน 42 นาที โดยการลงน้ำแบบก้าวลงเหมือนเดิม (มีถ่าย VDO ไว้ด้วย รอดูนะ) แล้วลงใต้น้ำด้วยการลงใกล้เชือก แต่วันนี้ห้ามจับเชือก และค่อย ๆ ลง โดยการเคลียร์หูไปด้วย วันนี้เราเคลียร์หูผ่าน ไม่ติดขัด สบายมาก ๆ จนลงมาถึงระดับหนึ่ง ครูหมีส่งสัญญาณให้ว่ายตามไป ที่พื้นทราย แล้วให้สัญญาณนั่งลงคุกเข่าเหมือนเดิม โดยเริ่มต้นกันที่ การเคลียร์หน้ากาก โอเคผ่าน และตามมาด้วยการนั่งขัดตะมานลอยตัวโดยการใช้ปอด ผ่านทั้งคู่ หลังจากนั้นก็ให้ทำทักษะการใช้เข็มทิศ โดยให้ว่ายไปที่ทิศเหนือก่อน แล้วกลับมาทางทิศใต้ โดยให้ไปกันสองคนกับบัดดี้ ครูรออยู่ที่เดิม ระหว่างว่ายไปบัดดี้ก็ว่ายมาชนเราด้วยแหละ พอระยะทางครบตามที่ตกลงกันไว้ก็กลับไปทางทิศใต้ ตอนแรกดูน่ากลัวนิด ๆ พอไม่มีครู ทะเลมันดูไม่มีทิศทาง ไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย แต่พอว่ายกลับไปทางทิศใต้ และเริ่มเห็นครูหมี ก็เริ่มใจชื้นขึ้น ระหว่างนั้น ก็มองบัดดี้ไปด้วย กลัวต้องใช้กฏ 1 นาที ถ้าหลงจากบัดดี้ เมื่อว่ายกลับมาถึงครูหมีแล้ว ครูหมีก็ให้ลองถอด Fin ลองกระโดดตีลังกา ลองกระโดดลอยตัว ลองว่ายแบบไม่มี fin ซึ่งก็ทำได้ดีทุกคน และสนุกกันด้วย มันส์มากเลยแหละ หลังจากนั้น ก็ให้ว่ายตามไปยังจุดที่ลึกที่สุดคือ 18 m โดยอาจารย์ให้เราดูเกจ และจับมือแสดงความยินดีที่ผ่านระดับความลึกนี้ อาจารย์ทำเหมือนกันกับบัดดี้เรา จากนั้น ก็ให้สัญญาณขึ้นจากน้ำ และสัญญาณทำ Safety Stop 5 m 3 min เหมือนเดิม ซึ่งก็ทำได้ดีระดับหนึ่ง แล้วจึงขึ้นสู่ผิวน้ำ  และว่ายกลับไปที่เรือ ดื่มน้ำ กินแตงโม เยอะๆ และเตรียมถังอากาศใหม่ เพื่อทำ Dive 2


Dive 2 วันนี้ พวกเราไปดำกันที่ Twin Rock การดำ Dive นี้ เป็น Fun Dive พาไปดูปลา ลอดถ้ำ ดูปะการัง ปลาวัว ปลากุ้ง และอื่น ๆ พวกเราตื่นเต้นมาก และ Dive นี้ มีเพื่อนร่วม Dive มาอีกท่าน เป็นชาวต่างชาติที่มาเรียนคอรส์ Dive Master จะร่วมไดฟ์ไปกับเราด้วย ซึ่งเป็นว่ายอยู่ด้านหลังปิดท้ายขบวน เราเห็นท่าดำ และการลอยตัวของเขาแล้ว นิ่งมาก ๆ ไม่ต้องใช้มือช่วยเหมือนครูหมีเลย พวกเรายังมีแอบใช้มือช่วยพยุงตัวกันอยู่เลย แหะ ๆ

Dive สุดท้าย ตอนลงจากเรือ พวกเราทั้งคู่ ใช้ท่ายืนเอาหลังลง ซึ่งพบว่าลงง่ายกว่ากันเยอะ สบายด้วย ชอบ ๆ คราวต่อไปจะใช้ท่านี่แหละ อิอิ...จอง ไว้แล้ว..... หลังจากลงมากันจนครบทุกคน ครูหมีก็ให้สัญญาณดำลงน้ำ โดยค่อย ๆ ลง ช้า ๆ และเคลียร์หูไปด้วย รอบนี้ก็โอเคเคลียร์ด้วยดี แต่น้ำเข้าแว่นตาดำน้ำ ต้องเคลียร์แว่นตาด้วย แต่ก็โอเค ผ่านไปด้วยดี พอลงมาถึงระดับหนึ่ง ครูหมีให้สัญญาณให้ว่ายน้ำตามไป บริเวณที่พวกเราลง เป็นเหมือนมีภูเขาลูกเล็ก ๆ อยู่ใต้น้ำเต็มไปหมด ซึ่งจุดดำน้ำ Twin Rock นี้ ขึ้นชื่อเรื่องของจุดดำน้ำที่สวยงาม มีปะการัง และปลาเยอะมาก เป็นแหล่งของปลาวัว กุ้ง ปลาการ์ตูน ปลากระเบน ปลาเทวดา ปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อ ปลาปักเป้า เป็นต้น (อยากเจอะเต่า แต่ไม่ได้เจอะ เสียดายมาก ๆ เลย) ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะเจอะเยอะแยะมาก โดยเฉพาะกุ้งตาบอดกับปลา ที่อยู่แบบพึ่งพากัน และปลานีโม่ที่น่ารัก ปลาวัวตัวใหญ่ ปลาปั๊กเป้าตัวกลม ปลากระเบนลายจุดฟ้า สนุก ตื่นเต้น เร้าใจมาก ๆ โดยเฉพาะตอนว่ายรอดถ้ำ ทีละคน ก็รอดปลอดภัยดี ไม่มีอันตราย เป็น Fun Dive ที่สนุกมาก ๆ เลยค่ะ จบ Dive นี้ ด้วยความสนุก มีความสุข ตื่นเต้น จนอยากดำ

Dive ต่อไปอีก.... หลังจากกลับจากการ Dive อาจารย์ก็ให้กรอก Dive Log สมุดประจำตัวของนักดำน้ำ และมอบบัตรนักดำน้ำประเภท OPEN WATER DIVER ให้ เป็นบัตรตลอดชีพ ........................และแนะนำคอร์ส Advance Open Water Diver ว่ามีอะไรบ้างให้ฟัง (อยากเรียนเร็ว ๆ จัง ..........ไปกันเมื่อไรดีหนอ บัดดี้ที่รัก............)
จบแล้วจ้า ...............พูดเล่าด้วยตัวอักษร ไม่เห็นภาพ ก็ต้องอาศัยจินตนาการนะจ๊ะ ไปแล้วจ้า ไว้พบกันใหม่นะจ๊ะ
บทความเกาะเต่า และเกาะพงัน ปี2010

Koh Tao My Trip Way

การเดินทางครั้งนี้ สู่เกาะเต่า สถานที่ยอดนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของการดำน้ำ จุดมุ่งหมายของเราคือ ไปเรียนดำน้ำในคอร์ส Open Water Diver ซึ่งจองไว้แล้วที่ Sairee Cottage Diving ตั้งแต่งาน TDEX 2010 ปีที่แล้ว และก็เจอะโรคเลื่อน ตามกระแสของค่าเงินบาทที่ไหลออกจากกระเป๋าทุกวัน ทุกวัน ตลอดจนกระแสการเมือง กระแสกีฬาสี ที่ทำให้เราไม่กล้าออกไปไหน อีกทั้งสภาพดินฟ้าอากาศ ที่ทำให้งงจนทุกวันนี้ ว่ามันเป็น ฤดูอะไรกันแน่นะ หรือนี้คือ ความหมายของคำว่า ฤดูที่แตกต่าง (5555 คิดไปได้) แม้ว่าที่ตกลงกันว่าจะไป ก็มีข่าวว่า...พายุเข้าเกาะเต่า ฝนตกอยู่ แต่เราจะไปอ่ะ เอาซิ เราสองคนจะไป ดังนั้น พายุต้องหลบแล้วจะ  แบบว่าสั่งได้อ่ะ....และแล้วโชคชะตา ก็นำพา พวกเราออกเดินทางกันอีกครั้งจนได้ พายุยังต้องสงบ และสยบ เราสอง ..... 55555

กำหนดการเดินทางคือเย็นวันที่ 23 มิ.ย. 54 ฝนตกก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพ แต่เราก็ไม่หวั่น ออกเดินทางไปสู่ ถนนข้าวสาร ออฟฟิคบริษัทลมพระยา เป็นการเดินทางแบบนั่งรถ ไปต่อเรือ .... เราไปถึงที่ถนนข้าวสาร ทุ่มกว่า ๆ หลังจาก check in จองที่นั่งแล้ว ก็ฝากกระเป๋า และเดินไปกินโจ๊กบางลำภู เจ้าดัง...เจ้าประจำ แล้วเดินดูของเล่น เพื่อรอรถเข้าท่า ...(ปกติ มันก็เข้าท่าประมาณ 2.30 ทุ่ม เลทไปบ้างก็ 3 ทุ่ม ทำใจนะ...)



[โจ๊กบางลำภู....เจ้านี้ ขอแนะนำ.....อร่อยมากจ้าาาาาาาาา  ราคาเหมาะสม สมความอร่อย เนื้อข้าวละเอียด หมูหมัก ไข่ลวกพอดี ตับนิ่ม อร่อยมาก ๆ จ้า มีให้เลือกทั้งไข่ลวก ไข่เยี่ยวม้า .... งานนี้ ใครยังไม่ได้กินข้าวเย็น ก็มาทานก่อนเดินทางได้เลย

หลังจากทานเสร็จ ก็เดินเล่น ช็อปปิ้ง ดูของก็ได้ สนุกดี ผัดไทย ข้าวไข่เจียว ก็มีขาย...ใครชอบอะไร ก็เลือกได้ตามสบายจ้า]


การเดินทางเริ่มต้น 3 ทุ่ม แวะพักให้หาข้าวกินตอนตี 1 (ปลุกทำไหมเนี่ย....คนจะนอน แต่ก็ลงไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำสะอาดดี แต่อาหารไม่ได้กิน เลยไม่รู้อ่ะนะ ใครจะไปก็ไปกินกันเอาเองแล้วมาเล่าให้ฟังด้วยนะ กินข้าว ตี 1 อร่อยไหม...) ถึงที่ท่าเรือ ดอนสัก จังหวัดชุมพร ประมาณ ตี 5.30 ก็ไปนั่ง ๆ นอน ๆ รอที่ท่าเรือ มีเก้าอี้นอนให้นั่ง ลมพัดสบาย ๆ ห้องน้ำสะอาดพอใช้ ที่ชายหาด ก็สะอาดดี ไปวิ่งเล่น นั่งเล่น เดินเล่นแบบ พวกเราก็ได้ เดินไปได้สุดหาด มีที่ถ่ายรูปสวย ๆ มาอวดกันได้เลย... ยังไง ก็ดูเล่นไปก่อนนะ

บรรยากาศริมหาด ที่นั่งรอ เดินออกมาอีกนิด ก็มีความสุขดี มีชาวต่างชาติ ออกวิ่งเพื่อสุขภาพยามเช้า พอ 6 โมง เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกให้ไป check in ตั๋วเรือ ได้รับสติกเกอร์มาติดหน้าอกเพื่อบอกว่าเราไปที่เกาะไหน เช่น เกาะนางยวน เกาะเต่า เกาะพงัน เป็นต้น และจะได้แถบสีต่าง ๆ กันมาติดที่กระเป๋าเดินทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่ ยกลงจากเรือได้ถูกเกาะด้วย ไม่หลงไปเกาะอื่น ดังนั้น อย่าลืมติดกันนะจ๊ะ.....






นั่งรอที่ริมหาด ด้วยเก้าอี้นอน เดินเล่นที่ชายหาด ออกไปถ่ายรูป รอเวลาเดินทาง เรือออก 7.00 น. ประมาณ 6.45 น. เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกให้ขึ้นเรือเร็วของลมพระยา ที่นั่งก็ติดแอร์ สบาย ๆ หรืออยากจะนั่งแบบ VIP ก็เพิ่มเงินอีกนิด 100 -200 บาท คุณจะได้ห้องส่วนตัว VIP เลยแหละ ใครชอบแบบไหน ก็ตามจริตนั้นนะจ๊ะ.....

เรือออกเดินทางจากท่าเรือทุ่งมะขามน้อย จังหวัดชุมพร ประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงที่เกาะนางยวน ก่อน คนที่จะพักที่เกาะนางยวน ก็ลงไป ส่วนคนที่เหลือ ก็รีบถ่ายรูปกันนะจ๊ะ เกาะนางยวนสวยมาก ใครอยากมาก ก็ไว้มา One Day Trip ได้ มาขึ้นจุดชมวิว ถ่ายรูป และดำน้ำ snoker ได้จ้า..... ถ้าไปเรือแท็กซี Taxi Boat ก็ประมาณ 300 บาท ไปเที่ยวชมเฉย ๆ ถ้าจะไป One Day Tour ก็ 990 บาท โดยประมาณนะจ๊ะ (รวมค่าเข้า รวมอุปกรณ์ดำน้ำจ้า)


(ทริปนี้ ไม่ได้ไปเกาะนางยวน ได้แต่ดำที่ Japanese Garden ข้าง ๆ เกาะ ไม่ได้ขึ้นเกาะ ไว้ไปดูภาพบรรยากาศในทริปที่แล้วนะจ๊ะ ทริปเก่า เกาะเต่า เกาะนางยวน)
ภาพนี้ เอาลงให้ดู เพราะชอบบรรยากาศ ของชาวต่างชาติ ที่มาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม so cool มาก ชอบ.....(ส่วนตัว เลยอยากโชว์)
หลังจากเรือออกจากท่าเกาะนางยวน ก็วิ่งมาอีกไม่เกิน 45 นาที ก็ถึงเกาะเต่า (น่าจะประมาณ 30 นาที พอดีจำไม่ได้แน่นอนอ่ะ มัวแต่ถ่ายรูปอยู่....แหะ ๆ )

เมื่อเรือ เข้าเทียบท่าบ้านแม่หาด ณ เกาะเต่า ก็ต้องโทรไปที่รีสอร์ท เพื่อให้รถมารับเราเข้าที่พัก ระหว่างทางก็จะมีแท็กซี่ มาเรียกตลอด ราคาแท็กซี่ที่เกาะเต่า เริ่มต้นที่ 150 บาทต่อคน (แพงในระดับหนึ่งนะจ๊ะ ไปเที่ยวแล้วต้องทำใจจ้า.... สำหรับคนไทย ไม่อยากแนะนำให้ขับรถเช่า เช่น มอเตอร์ไซด์ เพราะมันค่อนข้างอันตรายจ้า ทั้งชาวต่างชาติ ที่ขับซิ่ง ขับตามใจฉัน และเส้นทางที่คดเคี้ยว สูงชัน บาง อันตรายจริง ๆ จ้า...) 
จุดนัดพบ รอรถมารับ ก็คือหน้า เซเว่น มาทีไร ก็นัดหน้าเซเว่น ตลอด อ๋อ.... อีกจุดหนึ่งที่แนะนำ ถ้ารถยังไม่มารับ ให้เดินไปทางซ้ายมือของท่าเรือ ไปถ่ายรูปกับเต่าสัญญาลักษณ์ของเกาะเต่ากันหน่อยก็ดีนะ น่ารักดี เป็นไฮไลต์ดีด้วยจ้า......

ทริปนี้ สองสาวสวย....(เหลือน้อย...) บอบบาง อ้อนแอ้น อ่อนแอ... (เขียนไปก็จะอ้วกไปด้วย ทำไปได้อ่ะนะ คนเรา) มาถึงเกาะเต่าแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปกับเต่า แน่นอน และไปรอที่หน้าเซเว่น และกิจกรรมอีกอย่างคือกิน ไก่ทอด เจ้าเดิม แม่ค้าคนเดิม เหมือนปีที่แล้วเลย รสชาด ไม่มีคอมเมนต์ แต่กินได้ ร้อน ๆ ประทั่งชีวิตน้อย ๆ ของสองเรา.... (น่าสงสารไหม... ทั้ง ๆ ในเรือ ก็นั่งกินขนมมาตลอดทาง 5555)
ร้านเนี่ยแหละ ไปเกาะเต่า ท่าเรือ หน้าเซเว่น ไปวันไหนก็เจอะจ้า.....
เมื่อรถมารับไปที่ Rairee Cottage Diving ก็ประมาณ 10 - 15 นาที ไม่ไกลจากท่าเรือเลย ท่ารีสอร์ทก็มีป้ายต้อนรับ มีชื่อด้วย เท่...ดี เลยถ่ายมาให้ดูด้วยแหละ.... ดูอบอุ่นดี

เข้า check in จ่ายเงินเลย หรือจะจ่ายวันสุดท้ายก็ได้ (แต่อย่าจ่ายบัตรเครดิตนะ ชาร์ต 5 เปอร์เซ็นต์อ่ะ แพงมาก ๆ ) และต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนให้เป็นหลักฐานแลกกับกุญแจห้องไว้ด้วย อย่าทำหายละ....มีชาร์ตนะ จะบอกให้....

เมื่อ check in เรียบร้อย ก็มานั่งชิว ๆ หาข้าวกิน ที่ร้านอาหาร มื้อแรก ก็ Enjoy Eatting กันเลยแหละ อาหารอร่อยใช่ได้เลย วันแรกเริ่มต้น ด้วยสลัดทูน่า ข้าวผัดกุ้ง อร่อยที่สุด ลองมาดูหน้าตากันซิ ว่าน่ากินไหม

อาหารจานใหญ่ ประมาณสำหรับ ชาวต่างชาติ ราคาก็หลักร้อยนะจ๊ะ ไปเที่ยวแล้ว Enjoy Eating อย่างคิดมากนะค่ะ.... พวกเราสรุปแล้ว ส่วนมาก กินกันสองคน ตกมื้อละ 350 บาทสองท่าน โดยประมาณ ยกเว้นมื้อเย็น กินบาบีคิว กินสเต็ก อร่อย ๆ ก็ราคาอร่อย ๆ ไปด้วยจ้า........... ขอบอกว่า บาบีคิว ที่ร้านอาหารที่ทรายรี อร่อยมาก อร่อยจริง ๆ รับประกัน กินมาแล้วอ่ะ ไว้จะเล่าให้ฟังต่อไปนะจ๊ะ

หลังจาก ท้องอิ่ม หนังตาก็หย่อน เริ่มง่วง ก็นั่งเล่น ชิว ๆ ริมหาด ที่ร้านอาหารเดิม รอไปเข้าคอร์สเรียน OPEN WATER DIVER สำหรับหัดดำน้ำแบบ SCUBA ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไปนะจ๊ะ .... (อดทนรอไปก่อน ของดี ต้องใจเย็น ๆ ขอบอกสนุกมาก ๆ )

สำหรับวันแรก... กิจกรรมก็คือ กิน เล่น เที่ยว ถ่ายรูป อ่านหนังสือ เตรียมพร้อมเรียน พรุ่งนี้กับคอร์ส OPEN WATER DIVER
หลังจากกินอิ่ม ของหนัก ก็เดินไปกินขนมต่อที่ร้าน Blue Wind เป็น Home Made Bakery สั่งเค็กช็อกโกแล็กมากิน เนื้อแน่นมาก รสหนักไปหน่อย เลยกินไม่หมด แต่รสชาดก็โอเคจ้า.. ลองไปกินดูแล้วกัน
จากนั้นก็เคร่งเครียดกันนิด อ่านหนังสือเตรียมพร้อมเรียน และทำแบบฝึกหัดที่ครูสั่ง แล้วออกเดินไปวัด ไปไหว้พระ ไปถึงวัดแล้ว ก็ไหว้แล้ว เป็นวัดเล็ก ๆ เดินไม่ไกลจากที่พัก ไม่กล้าถ่ายรูปมา เพราะเขากำลังมีงานศพ เลยเรียกแท็กซี่ ต่อไป โฉลกบ้านเก่า หาดตาโต๊ะ เขาคิดพวกเราคนละ 150 บาท สองคนรวมเป็น 300 บาท แต่ด้วยความน่ารัก และขี้อ้อน เลยลดเหลือคนละ 100 บาท แต่ไม่รับกลับนะ ส่งอย่างเดียว...

นั่งรถมาถึงที่หาดตาโต๊ะ มีรีสอร์ทสวยแห่งหนึ่ง ก็เลย แวะถ่ายรูปนิดอ่ะนะ โชว์หน่อยดีกว่า... ให้เห็นแล้ว น้ำลายไหล อยากไป...

หาดตาโต๊ะ เป็นหาดทรายขาวเนียน มีเส้นทางเดินไปสู่หาดเป็นแผ่นซีเมน ผาดไว้ตามก้อนหิน ทำเหมือนสะพาน มีรีสอร์ทที่พัก ซ่อนตัวอยู่หลายหลัง บรรยากาศเงียบสงบ สบายมาก ๆ

 ถ้าคนที่ชอบความสันโดษ ความสงบ แนะนำที่หาดนี้ เหมาะสำหรับหลบไปพักผ่อนแบบชิว ๆ มาก ๆ เลย และคนที่ชื่นชอบนก ก็มีนกน้ำให้ดูด้วย ยังแอบถ่ายมาได้เลย โชว์สักนิดแล้วกัน อิอิ....


นกสองตัวนี้ พบเห็นได้ในระหว่างทางเดินไปยังหาด น่ารักมาก ๆ เลยจ้า..... ใครรู้ว่าเป็นนกอะไร 
ช่วยคอมเมนต์มาบอกหน่อยนะค่ะ...

หลังจากพักผ่อน ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ก็เริ่ม หาของกินกันอีกแล้ว เราจึงเดินกลับมา เรื่อย ๆ จนถึง รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลมาก มีร้านอาหาร น่านั่ง ชื่อ New Heaven เราเรียกว่า สรวงสวรรค์ แล้วกัน ชื่อไทย ไม่อยากแปลตรงตัวมากนัก สั่งเครื่องดื่มมานั่งกิน ชมบรรยากาศ และทานอาหารเย็นกันต่อ

เครื่องดื่มอร่อยมาก อาหารก็อร่อย งานนี้ ไม่ขอบรรยายอีกต่อไป เพราะง่วงแล้วแหละ ดูภาพ แล้วแต่งเติมจินตนาการคุณกันเองแล้วกัน หมดวันแรกแล้ว เหนื่อยแล้ว คนเขียนขี้เกียจแล้วอ่ะ ไปดูภาพกันเลยดีกว่า.....


ขออภัย...ที่มิอาจ บรรยายได้มากไปกว่านี้ เพราะคนเขียนง่วงแล้ว......

พบกันกับบทความ Open Water Dive นะจ๊ะ บ๊าย...จ้า........

บทความเกาะเต่า และเกาะพงัน ปี2010


วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ครั้งแรกในชีวิตกับชีวิตบนภูเขาไฟโบร์โม่

การเดินทางครั้งแรกในชีวิต สู่ดินแดนภูเขาไฟ อินโดนีเซีย............ "มีโปรแอร์เอเชีย ไปสุราบายา ถูกนะ ไปป่ะ" เสียงชวนมาจากอีเมล์ น้องในแกงค์ "ไป ๆ ..." ตอบรับไปโดยไม่ทันคิดอะไรเลย แต่ว่า ไง "สุราบายา" อะไรเนี่ย มันที่ไหนหรอ แล้วไปทำไหมอ่ะ... ไม่ได้รู้เรื่องเลย เขาชวนไปไหน ก็ไปไว้ก่อน (ประมาณ กลัวอดเที่ยวอ่ะ) เมื่อตอบรับไปแล้ว ก็เริ่มมีไฮไลต์ เด่น ๆ มาเรียกน้ำย่อย ความอยากเที่ยวทันที ส่งภาพภูเขาไฟโบร์โม่ มาอย่างสวยงาม ประมาณว่า ฟ้าสีฟ้า ภูเขาไฟสีน้ำเงิน ดินดีเทาดำ งามสุด ๆ ไป ๆ รีบตอบเมล์กลับไปอีก อยากไปถ่ายรูปแบบเนี่ยอ่ะ ไปกี่วัน ราคาเท่าไหร่ ไม่ถาม ไม่คิด ตอบไปก่อน (เหมือนเดิม....555 ซึ่งก็ปรากฏว่า มีน้องที่ชวน กับเราสองคน ตอบกันไปกันมา 5555 ส่วนคนอื่น ค่อย ๆ ชวน หาสมาชิกไป) หลังจากไปหลอกล่อ ชักชวน เพื่อน ๆ ก็ปรากฏมีคนหลวมตัว (ด้วยภาพภูเขาไฟ อันสวยงาม)
มาทั้งหมด 6 คน (รวมพวกเรา สองคนด้วย) ซึ่ง 1 ใน 6 ก็มีคนเคยไปบาหลีมาแล้ว ก็เลยมีการคุยกันว่า "ไหน ๆ ก็ไปถึงอินโดนีเซียแล้ว ต่อไปบาหลีด้วยดีกว่า...สวยนะ" เหมือนเดิม ความใจง่าย (แบบว่าเรื่องเที่ยว ยอมหมดใจ รีบตอบไปว่า ไปเลย เอาด้วย  แล้วต้องกี่วันละ "คำตอบก็ประมาณ 8 วันจ้า......." โอเค งั้นพวกเรา อยู่ต่อกันอีก 2 คน แล้วกัน พอบอกไปกับลูกทีมที่เหลือ ปรากฏว่า "ไปด้วย ยอมลางานกันเพิ่ม เพื่อ การเที่ยว โดยตรง 55555" หลังจากตกลงกันได้ ก็จองตั๋วล่วงหน้า 6 เดือน ข้ามปีกันเลย และแล้วก็ได้มาแล้ว กำหนดการเดินทาง สู่ดินแดนชวา บาหลี อินโดนีเซีย
Sun 10 Apr 2011 QZ 7683 BKK (BKK) 19:45 SUB (SUB) 23:35

Mon 18 Apr 2011 FD 3678 DPS (DPS) 12:00 BKK (BKK) 15:20 หลังจากนั้น ก็เป็นการหาข้อมูล เตรียมโปรแกรม ซึ่งรับทำโดย น้องคนที่เคยไปบาหลี ก็ได้โปรแกรม 9 วัน 8 คืนมาเรียบร้อย.... เอามาอ่านเป็นน้ำย่อย เรียก ต่อมอยากเที่ยว กระตุ้นความยากไป นาน..............กว่า 6 เดือน พอใกล้เดินทางเหลืออีก 1 เดือน ก็ได้เวลากลับมาตระเตรียมการเดินทางกันต่อ หลังจาก กระตุ้นจากหายอยากไปนาน นานมาก ๆ แบบว่า ถ้าไม่มีใครเตือน ลืมกันไปเลย............... น้องคนที่รับเรื่องจองตั๋ว ก็เตรียมจองเช่ารถ จองโรงแรม ติดต่อฝั่งชวา โบร์โม่ คาวาอี้เจี้ยน
น้องคนที่ดูแลเรื่องโปรแกรม ก็เตรียมจองโรงแรม ฝั่งบาหลี และดูเรื่องโปรแกรม ปรับเปลียนให้พอใจต่อไป ส่วนเรา ก็ทำหน้าที่แลกเงิน จ่ายเงิน โอนเงิน ตามที่ได้รับมอบหมายจ้า......... แบบว่า ว่าง.... ใช้มาแล้วกัน อ๋อ ลืมบอกไปว่า ....พวกเราเดินทางช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาจ้า บ้านเราเป็นฤดูร้อน บ้านเขา (อินโดนีเซีย) เป็นฤดูฝน (กระมั่ง) แนะนำควรไปช่วงฤดูหนาว จะดีมาก ๆ ตามที่เขาบอกมา เหตุการณ์ ณ วันเดินทาง................ พวกเรานัดมาพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 17.00 น.  เป็นไปตามคาดว่า คนเช็กอินเยอะมาก ตลอดจนรถติด พอใช้ แต่ทุกคนก็มาถึงที่นัดพบ ไม่เกิน 18.00 น. ดีที่ให้น้องคนหนึ่งไปเข้าแถวรอเช็กอินก่อน ส่วนที่เหลือก็แบ่งเงินกันตรงนั้นเลย (ที่แลกมา แบบว่า จะ ๆ ดีนะที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่มีขโมย ไม่งั้นก็น่ากลัวเลย) หลังจากนั้นก็หาอะไรกิน พวกเราโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง ส่วนกระเป๋ากล้องก็แบกขึ้นเครื่องกันเอง น้องที่กะช็อปปิ้ง ก็เอากระเป๋าเปล่ามาโหลดด้วย เผื่อขากลับ (คิดรอบคอบมาก ๆ ) หลังจาก check in ก็เดินทางไปยัง gate ซึ่งก็เหมือนเคย ไกลมาก ๆ (น่าเบื่อเนอะ สุวรรณภูมิเนี่ย) อ๋อ มีให้กรอกใบผ่านทางเข้า ออกด้วย นั่งกรอกกัน งง ... นิด ๆ แต่ก็เขียนกันเสร็จเรียบร้อย ก็ผ่านไปตรวจหนังสือเดินทาง ผ่านด่านเรียบร้อยก็เข้าไปรอเครื่องออก ก็มีประกาศแจ้งว่า เครื่องบิน กรุงเทพ สุราบายา ดีเลย์ไป 30 นาที (อ้าว... กรรม อุตสาหรีบ...) นั่งคุยเล่นกันต่อไป หันไปมองซ้าย มองขวา รู้สึกว่า คนไทยไปกันเยอะจัง และคนอินโด ก็อยู่ไทยเยอะมากเหมือนกัน
สายการบินแอร์เอเชีย กรุงเทพ สุราบายา ลำนี้ แอร์เป็นชาวอินโด พูดภาษาอินโด ตลอดเวลา เสียงดัง ตลอดทางที่นั่งเครื่อง คนง่วงจะตาย บ่นอยู่ได้ แจ้งประมาณว่า เราบินอยู่ที่ไหนแล้ว อากาศเป็นไง ความสูงเท่าไหร่ ประมาณเนี่ย .... กัปตัน ขยันจริง ๆ .... ถึง สุราบายา ที่เวลา 24.00 น. เที่ยงคืน น้องบอกว่า คนขับรถเช่า ที่เราเช่าไว้ จะมารับพาไปโรงแรม แล้วก็มาผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองเหมือนเดิม เขาก็ถามว่า มาทำอะไร อยู่กี่วัน แล้วก็อวยพรให้มีความสุขกับการเดินทาง เมื่อผ่านมาครบทุกคนแล้ว ก็ไปรับกระเป๋า แล้วเดินออกมา คนมารับไม่เยอะนัก ทำให้เราเห็นป้ายชื่อ น้องที่ คนขับถืออยู่โดยเร็ว คนขับแจ้งว่า พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แล้วรีบเดินพาเราไปรอด้านนอก เพื่อเอารถมารับอีกที ถึงดึกขนาดไหน พวกเราก็ยังตื่นเต้น กระดี้กระด้าอยู่เลย แล้วก็หิวด้วย....
พอขึ้นรถ น้องที่ติดต่อคนขับไว้ ก็คุยกับคนขับ แจ้งโปรแกรม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคุยกันรู้เรื่องไหม เพราะคนขับแจ้งว่า พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย......... รถที่เช่ามา เป็นรถ 8 ที่นั่ง กว้างขว้าง นั่งสบาย สภาพรถดีพอใช้เลย สนใจติดต่อไปที่อีเมล์นี้ได้นะค่ะ ราคายุติธรรม ดีค่ะ da_rifi@yahoo.co.id  ติดต่อคุณ Dyana หรือแจ้งว่า ทราบมาจากคุณ Teerasak ได้เลยค่ะ (ราคาที่เราได้ 3 วัน คือ Rp. 1,200,000 plus 200,000 (ค่าตีรถเปล่ากลับ เนื่องจากเราให้เขาส่งที่ท่าเรือข้ามไปบาหลีจ้า))
หลังจากขนของขึ้นรถแล้ว (ซึ่งจะมีใครก็ไม่รู้มาช่วยคุณขนของขึ้นรถ แล้วก็ขอ money จ้า... ถ้าให้สบายใจก็จ้าง แล้วให้เงินไป ถ้ามีงบประหยัด ก็อย่าให้ใครมาช่วยคุณยกของนะ เพราะจะต้องเสีย money จ้า) หลังจากขึ้นรถเรียบร้อย รถก็วิ่งออกจากสถานบินด้วยความเร็วคงที่ อย่างมั่นใจ ผ่านไป 1 ชั่วโมง ก็ยังไม่ถึงโรงแรมที่จองไว้ (เริ่มงง นิด ๆ แล้วว่า ในเมล์แจ้งว่า โรงแรมห่างจากสนามบินไม่เกิน 30 นาที) ด้วยความหิว ก็เลยขอให้ คนขับ จองที่ mini mark สถานที่แวะแห่งแรกของพวกเราคือ "Indo Mark" 
ทุกคนลงจากรถไปจับจ่ายใช้สอยเงิน ซื้อน้ำ ซื้อขนมกัน ยกใหญ่ น้องคนที่จัดโปรแกรม ก็ไปคุยกับคนขับรถ จนได้ความว่า .... เราไม่รู้ว่าพวกเราจองโรงแรมนอนคืนนี้ นึกว่า จะเดินทางไปภูเขาไฟโบร์โม่เลย ............ "OoO""""""""OoO'''''''''OoO''''''' กรรม ............. กรรม แล้วไง ทุกคนหันกลับไปที่ เจ้าน้องคนแรกที่คุยกับคนขับรถ บอกว่า สื่อสารกันยังไง เนี่ย.... เขาไม่รู้โปรแกรมเราหรอ.............. งง จริง ๆ (คิดไปแล้ว ก็ตลกดีเหมือนกันนะค่ะ จึงได้คำเตือนในการเดินทางมาอีกข้อหนึ่งว่า...... หากไปประเทศที่สื่อสารกันไม่ได้ อย่าคิดว่าเขาเข้าใจเหมือนเรา พยายามเคลียร์จุดมุ่งหมาย หรือโปรแกรมให้ชัดเจนก่อนออกเดินทางนะค่ะ...................."  คืนนั้น.... เลยให้เขาหาโรงแรม ข้างทางให้แวะพัก นอนกันก่อนค่ะ ก็ปรากฏว่า โรงแรมคืนแรกของเรา คือ โรงแรม นี้เลย................. ห้องพัก ความสะอาด (ติดลบ ไม่ให้ ดาวนะค่ะ) ผ่านไปเลยค่ะ...........
และแล้วก็จบวันแรกที่เดินทางไปถึง อินโดนีเซีย ....ค่ะ
ไว้จะมาเล่าต่อนะค่ะ...

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บริจาคเลือด กับภาวะโลหิตจาง

ณ วันที่ 29 ธ.ค. 53 วันนี้พวกเรานัดกันไปบริจาคโลหิตที่สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังค์ ตามกำหนดการที่่ต้องบริจาคเลือดทุก 3 เดือน เราออกเดินจากด้วยรถไฟฟ้า BTS ไปลงสถานีสยาม แล้วรถแท็กซี่ต่อไปยังสภากาชาด
เดินทางไปสภากาชาดไทยด้วย รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสยาม

วันนี้เป็นวันก่อนสิ้นปี 2553 คนมาบริจาคโลหิตเยอะมากที่สภากาชาดไทย ทำให้เรารู้สึกชื่นใจว่าคนไทยช่างมีน้ำใจ แต่ก็ดันไปได้ยินคนเขาคุยกันว่า มาบริจาคโลหิตก่อนไปต่างจังหวัด เอาเลือดออกก่อนแก้เคล็ดก่อนเดินทาง ....

โห.. อย่างนี้ก็มีด้วย (ยืมคำ พี่เป้มาใช้หน่อยนะค่ะ)

แต่ก็เอาน่ะ ชวนกันมาบริจาคโลหิตแบบนี้ ยังดีกว่าชวนกันไปแก้เคล็ดแปลก ๆ ให้เสียเงิน ทำให้คิดต่อไปอีกว่า แบบนี้ น่าจะสร้างกระแสนิยมในสังคม เช่น การบนเจ้าที่ แก้บนด้วยมาบริจาคโลหิต  การอธิบายขอสอบเข้า แก้บนด้วยมาบริจาคโลหิต เป็นต้น ท่าจะดีนะ... หรือ คุณคิดว่าไง

การบริจาคโลหิต ต้องรอคิวนานมาก ๆ เพราะคนเยอะ กดได้เบอร์ 163 (ไม่ได้ใบ้หวยนะ...) รอคิวอีก 124 คน โอ้..โห นานมาก เลยออกเดินไปมหาวิทยาลัยจุฬา ไปหากาแฟกินรอกันก่อน แต่ก็มีถามกันว่า ดื่มกาแฟ ก่อนบริจาคโลหิตได้หรือเปล่าเนี่ย ... คำตอบคือ ไม่รู้อ่ะ... แต่ก็ดื่มเถอะ มันรออีกนาน เลยนั่งชิว ๆ รอกันที่ร้านกาแฟ
คิวที่ 163 -164 ต้องรออีก 120 กว่าคน เลยมานั่งดื่มกาแฟ ที่ร้านกาแฟในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นั่งรอไปเกือบชั่วโมง จึงเดินกลับมายัง สภากาชาดไทย แวะเข้าห้องน้ำ ออกจากห้องน้ำมาอ้าวเลยคิว ซะงั้น เลยรีบวิ่งเข้าไปในห้องตรวจวัดความดัน และความหนาแน่นของเม็ดเลือด (ห้องเบอร์ 4)

คนก็เยอะเหมือนเดิม วัดความดันแล้ว ความดันต่ำไปนิด เจ้าหน้าที่บอกให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ 110/80 ต่อไปก็ไปรอคิววัดความหนาแน่นของเม็ดเลือด วันนี้เจ้าหน้าที่เจาะนิ้วเจ็บมากเลย ปวดตุ๊บ ๆ และผลปรากฏว่า เลือดไม่จมตัวในน้ำเกลือ เจ้าหน้าที่จึงขอดูดเลือดเพิ่มไปวัดในเครื่องวัดเม็ดเลือด ปรากฏว่า เม็ดเลือดต่ำ ผลแค่ 11.1 (ปกติควรจะ 12 - 18.0) แสดงว่าต่ำเกินไป
ผลความเข้มของโลหิตแค่ 11.1 mg/ml (ไม่ผ่าน) เรียกว่า โลหิตจาง

เจ้าหน้าที่จึงไม่ให้เราทำการบริจาคโลหิต และแจ้งให้ไปปรึกษาแพทย์ต่อที่ห้องเบอร์ 7-8 ก็เลยไปต่อคิวที่ห้องปรึกษาแพทย์ ไปถึงเจ้าหน้าที่ก็มาเจาะเลือดที่แขนไป 2 หลอด นำไปตรวจวัดเม็ดเลือดต่าง ๆ ด้วยเครื่องตรวจเม็ดเลือด
ผลการตรวจเลือดด้วยเครื่องตรวจนับเม็ดเลือด

ดูจากกราฟจุดที่ 1

กราฟขวามือ คือ ค่าปกติ
กราฟซ้ายมือ คือ ผล

ปรากฏว่า เม็ดเลือดต่ำกว่าค่าปกติ หรือ มีภาวะโลหิตจางนั่นเอง

กราฟอันถัดไป คือ ความหนาแน่นของชนิดเม็ดเลือดแดง พบว่ามีขนาดเม็ดเลือดแตกต่างกันถึง 4 ชนิด เรียกได้ว่า มีแนวโน้มเป็น พาหะของโรค ธาลัสซีเมีย 25% แล้ว

ค่าต่อไปมาดูที่ตาราง เม็ดเลือดต่าง ๆ
ค่า RBC คือ ค่าเม็ดเลือดแดง วัดได้แค่ 4.63 เทียบกับค่าปกติ อยู่ระหว่าง 4.20 - 6.3 ก็ค่อนข้างต่ำ

ค่า HGC ค่าความหนาแน่น ครั้งแรกตรวจได้ 11.1 ครั้งนี้ตรวจได้ 10.1 ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ๆ แสดงว่า โลหิตจาง

มาดุค่า ROW 18.9 คือ ค่าความแตกต่างของขนาดเม็ดเลือด ค่าปกติ อยู่ที่ 11.5 - 14.5 อันนี้สูงมาก แสดงว่าเป็นพาหะ ธาลัสซีเมีย

ซึ่งผลโดยรวม สรุปได้ว่า เป็นโรคโลหิตจาง และเป็นพาหะธาลัสซีเมียแน่นอน ซึ่งในคนไทยปกติจะเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียอยู่ประมาณร้อยละ 25 อยู่แล้ว

โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดงและสารฮีโมโกลบินในไขกระดูดไม่สมบูรณ์และอาจแตกสลายไปก่อนที่จะโตเต็มที ทำให้ผลิตเม็ดเลือดแดงและสารฮีโมโกลบินได้น้อยลง ส่งผลให้คนที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย มีอาการซีด เลือดจางเรื้อรัง มีภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น หัวใจล้มเหลว กระดูกพรุนบาง มีแผลเรื้อรัง ติดเชื้อได้ง่าย เป็นต้น

ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย  (พาหะ) ยังสามารถบริจาคโลหิตได้ แต่ต้องดูแลสุขภาพมากกว่าผู้บริจาคโลหิตทั่วไปหน่อย เพราะเรามีภาวะขาดธาตุเหล็ก หรือโลหิตจางเรื้อรังได้สูงอยู่แล้ว ดังนั้น
หันกลับมาดู ยาเสริมธาตุเหล็ก ที่หลังจากบริจาคโลหิต เจ้าหน้าที่จะให้มารับประทานอย่างน้อย 25 วัน (ต่อเนื่อง) สำหรับคนปกติอาจกินบ้างไม่กินบ้าง แล้วแต่สภาพร่างกายเขา แต่สำหรับเราที่เป็นโรคโลหิตจากธาลัสซีเมีย ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องให้หมด แล้วดูแลบำรุงร่างกายให้ดี จึงจะไปบริจาคโลหิตได้อีกครั้งใน 3 เดือนข้างหน้า

 คราวนี้เรามาดูผลกระทบบางประการของการขาดธาตุเหล็กวันบางนะว่ามีอาการอย่างไรบ้าง
(The Symptoms of Iron Deficiency Anemia)
  1. สีผิวซีด เหลืองซีด
  2. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  3. ขุ่นเคือง รำคาญ หงุดหงิด
  4. วิงเวียนศีรษะ
  5. อ่อนแอ ไม่แข็งแรง
  6. แสบลิ้น เจ็บลิ้น
  7. เล็บแห้ง เปราะง่าย
  8. หายใจขัด หายใจไม่เต็มอิ่ม
  9. เบื่ออาหาร กินได้น้อย
  10. ปวดศีรษะบริเวณหน้าผาก
  11. ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
  12. ผมร่วงมากกว่าปกติ
  13. ไวต่อความเย็น มือเท้า เย็นกว่าคนอื่น ๆ
  14. การรับรู้ ความสนใจในสถานการณ์ รวมทั้งความจำเสื่อมไป
  15. ความเข้าใจ ความนึกคิด สติปัญญา เสียหรือด้อยไป
โห... เป็นไงค่ะ อ่านแล้ว เริ่มรู้สึกว่าเราก็มีอาการแบบนี้ หลายข้อจริง ๆ ช่วงนี้คงโลหิตจางแท้แน่นอน

คุณหมอ อธิบายผลให้ฟังอย่างละเอียด พร้อมทั้งสั่งสอน (เทศน์ ไปอีกหลายยก) ก็นานเป็นชั่วโมง จากนั้น ก็เลยให้ยามาทานทั้งหมด 3 ชนิด คือ ยาเสริมธาตุเหล็ก ยาวิตามินบีรวม ยาเสริมกรดโฟลิก และยังแถมอาหารเสริมข้าวกล้องงอกมาให้อีก แบบว่า ครบถ้วนสารอาหาร ทั้งกรดอะมิโน วิตามิน และเกลือแร่ เลยค่ะ

ครั้งนั้น ต้องขอขอบพระคุณ ทางคุณหมอ และเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย ที่ห่วงใย และใส่ใจกับผู้มาบริจาคโลหิตอย่างแท้จริง

ทุกอย่างตรวจฟรี ยาฟรีค่ะ แถมคุณหมอบอกว่า เมื่อทานยาครบ 25 วันแล้ว ให้กลับมาตรวจเลือดอีกครั้ง (และแน่นอนว่าไม่มีค่าใช้จ่ายครั้ง) แล้วไว้จะมาเล่าความคืบหน้าให้ฟังใหม่นะค่ะ บาย... แล้วพบกันใหม่ค่ะ



ปล. เราเองก็เสียความรู้สึกนิดหน่อยว่า อะไรเนี่ย ออกจะแข็งแรง ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียด้วย เซ็งอ่ะเนี่ย.....